Chopsticks
อ่านประวัติ ศาสตร์ของตะเกียบ โดย อดุลย์ รัตนมั่นเกษม นักวิชาการจีนศึกษา เล่าว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง นักการศึกษาชื่อ ขงอิ่งต๋า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราคัมภีร์ขงจื๊อ มีชีวิตอยู่เมื่อปี ค.ศ.574-648 สนองรับคำสั่งของพระเจ้าถังไท้จง เรียบเรียง "อู่จิงเจิ้งอี้" (Wujing Zhengyi- An Exact Implication of the Five Classics" สำหรับเป็นบรรทัดฐานในการสอบคัดเลือกคนเข้ารับราชการ
ขงอิ่งต๋าพูดถึงธรรมเนียมและมารยาทในการกินข้าวของคนจีนในสมัยนั้นว่า "มารยาท การกินข้าวของคนโบราณจะไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือ เมื่อกินข้าวร่วมกับคนอื่นควรชำระมือให้สะอาดหมดจด อย่าให้ถึงเวลากินข้าวแล้วเอามือถูใบสน หยิบข้าวกิน เกรงจะเป็นที่ติฉินของคนอื่นว่าสกปรก"
คนโบราณ ที่ขงอิ่งต๋ากล่าวถึงคือคนในยุคขงจื๊อ จึงมีความเชื่อกันว่า คนจีนน่าจะรู้จักใช้ตะเกียบกันมาเป็นเวลานานมากกว่า 2,000 ปี ตะเกียบใช้สำหรับคีบผักต้มจากหม้อน้ำแกงมาไว้ในชามข้าว จากนั้นจึงเอามือหยิบข้าวกิน ถ้ามีใครใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากถือเป็นการเสียมารยาทมาก สิ่งใดที่บรรพบุรุษสร้างหรือกำหนดไว้จะไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน คนจีนจึงรักษาธรรมเนียมการกินด้วยมืออยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปี
จีนเริ่ม ใช้ตะเกียบตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง แต่ยอมรับกันว่าคนจีนใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายหลัง ยุคราชวงศ์ฮั่น ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3
สมัยนั้น เรียกตะเกียบ ว่า "จู้" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ไขว้จื่อ" เหตุเพราะชาวเรือถือคำว่า จู้ ที่ไปพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า หยุด ว่าไม่เป็นมงคลต่อการเดินเรือ
การ ที่คนจีนใช้ตะเกียบกินอาหารมาเป็นเวลานับพันปีจึงมีคำสอนไว้มากมาย กระทั่งกลายมาเป็นวัฒนธรรมตะเกียบ ซึ่งมีตั้งแต่การจับตะเกียบจนถึง ข้อห้ามต่างๆ ดังนี้
ดังนั้น การวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้นๆ ยาวๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด / น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
ที่มา นสพ.ข่าวสด