ศูนย์ เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ภายใต้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ห่วงใยประชาชนที่ต้องเผชิญกับสารพัดมลภาวะในแต่ละวัน ซึ่งล้วนส่งผลร้ายต่อสุขภาพ หลายคนหาทางออกด้วยการใช้วิธีล้างพิษ ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ แต่ก็ยังเกิดคำถามว่า วิธีการดังกล่าวดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่
น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า การล้างพิษหรือดีท็อกซ์มีมานานแล้ว โดยอวัยวะที่โดดเด่นสำหรับการล้างพิษคือ ตับ ไต และลำไส้ เนื่องจากเป็นทางผ่านของอาหาร ยา รวมถึงวิตามินและสมุนไพรที่เราบริโภคเข้าไป จนกลายเป็นแหล่งสะสม หากไม่ขจัดให้หมดไปก็จะเกิดการตกค้างและส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย สิ่งที่น่ากังวลคือ ท่านที่เลือกวิธีล้างพิษด้วยตัวเอง โดยที่อาจจะยังไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดว่าวิธีใดที่จะเหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้
น.พ.กฤษดา กล่าวว่า การล้างพิษมีหลายชนิด โดยยกตัวอย่าง 8 ชนิดที่ได้รับความนิยม คือ
1.น้ำมันมะกอก ด้วยมีสถาน บำบัดหลายที่ยกเอาสูตร น้ำมันมะกอก กับน้ำมะนาว มาเป็นสสารล้างพิษตับ เวลาถ่ายออกมาจะมีปฏิกูลที่หน้าตาเหมือนก้อนสีเขียวหลุดออกมาด้วย ซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกันว่านั่นคือก้อนอะไร ระหว่างก้อนนิ่วหรือเป็นเพียงก้อนไขมันที่มาจากน้ำมันมะกอกที่ดื่มเข้าไป
2.น้ำมะนาว ในส่วนของน้ำมะนาวมีประโยชน์มากเพราะต้านอนุมูลอิสระและกรดแอสคอบิกที่ทำให้ ความเป็นกรดด่างภายในเกิดความสมดุลขึ้นมา แต่มีข้อควรระวังอยู่ตรงที่ไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง เพราะทำให้ระคายผิวเมือกนุ่มๆ ของกระเพาะและลำไส้ได้
3.ดีเกลือ เป็นการล้างพิษ สูตรโบราณ ที่เชื่อว่านอกจากดีเกลือทำให้ระบายง่ายแล้ว ยังช่วยระบายนิ่วถุงน้ำดีให้ออกมาได้ด้วย ดังนั้นผู้ที่ควรระวังคือผู้สูงวัยและคนที่ท้องเสียง่ายอยู่แล้วอาจทำให้ เสียน้ำจนช็อกได้
4.โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง โยเกิร์ตอุดมไปด้วยเชื้อจุลินทรีย์ที่คอยปกป้องลำไส้ ส่วนน้ำผึ้งช่วยระบาย แต่ต้องระวังท้องเสียได้
5.น้ำด่าง หรืออีกชื่อ หนึ่งคือ น้ำอัลคาไลน์ เป็นวิธีที่กำลังพูดถึงกันมาก แต่ไม่อยากให้ท่านดื่มเองโดยปราศจากการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากดื่มน้ำด่างมากเกินไปจะส่งผลต่ออวัยวะภายใน โดยเฉพาะกระเพาะและลำไส้ได้
6.กาแฟ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้แต่อย่าทำถี่เกินไป โดยเฉพาะในรายที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันสูงที่ผลจากกาแฟจากการสวนจะมีผลไป ซ้ำเติมอาการได้ หรือแม้แต่ในคนปกติหากดีท็อกซ์ด้วยกาแฟบ่อยเกินไปก็จะทำร่างกายดูดคาเฟอี นเข้าไปสะสมมากเกินไป
7.โสมและขมิ้นชัน ซึ่งในกรณีล้างพิษด้วยสมุนไพร 2 อย่างนี้ต้องใช้การรับประทานเป็นหลัก โดยให้ลดการรับประทานเนื้อแดง, ไขมันและน้ำตาลเพื่อลดขยะในร่างกาย ก่อนจะใช้โสมและขมิ้นชันเป็นตัวช่วย จะรับประทานแบบสดหรือแบบสกัดก็ได้ เพียงแต่ขอให้ระวังเรื่องโสม ในท่านที่มีความดันโลหิตสูงและไม่ควรรับประทานร่วมกับชากาแฟและเครื่องดื่ม ที่มีคาเฟอีน
8.คีเลชั่น เป็นวิธีการล้างพิษโลหะหนัก ด้วยการฉีดสารเคมีเข้าไปในเลือด ซึ่งมีพูดถึงกันมากแต่ก็ยังไม่ใช่วิธีมาตรฐานในตำราแพทย์ สังเกตได้จากโรงเรียนแพทย์ยังไม่มีการนำมาใช้ในคนทั่วไปนอกจากในกรณีคนไข้ รับเลือดมากจนธาตุเหล็กตกค้าง อย่างไรก็ตามวิธีที่กล่าวมาสามารถทำได้ แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับตนเอง และศึกษาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
ขอขอบคุณ น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
น.พ.กฤษดา กล่าวว่า การล้างพิษมีหลายชนิด โดยยกตัวอย่าง 8 ชนิดที่ได้รับความนิยม คือ
1.น้ำมันมะกอก ด้วยมีสถาน บำบัดหลายที่ยกเอาสูตร น้ำมันมะกอก กับน้ำมะนาว มาเป็นสสารล้างพิษตับ เวลาถ่ายออกมาจะมีปฏิกูลที่หน้าตาเหมือนก้อนสีเขียวหลุดออกมาด้วย ซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกันว่านั่นคือก้อนอะไร ระหว่างก้อนนิ่วหรือเป็นเพียงก้อนไขมันที่มาจากน้ำมันมะกอกที่ดื่มเข้าไป
2.น้ำมะนาว ในส่วนของน้ำมะนาวมีประโยชน์มากเพราะต้านอนุมูลอิสระและกรดแอสคอบิกที่ทำให้ ความเป็นกรดด่างภายในเกิดความสมดุลขึ้นมา แต่มีข้อควรระวังอยู่ตรงที่ไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง เพราะทำให้ระคายผิวเมือกนุ่มๆ ของกระเพาะและลำไส้ได้
3.ดีเกลือ เป็นการล้างพิษ สูตรโบราณ ที่เชื่อว่านอกจากดีเกลือทำให้ระบายง่ายแล้ว ยังช่วยระบายนิ่วถุงน้ำดีให้ออกมาได้ด้วย ดังนั้นผู้ที่ควรระวังคือผู้สูงวัยและคนที่ท้องเสียง่ายอยู่แล้วอาจทำให้ เสียน้ำจนช็อกได้
4.โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้ง โยเกิร์ตอุดมไปด้วยเชื้อจุลินทรีย์ที่คอยปกป้องลำไส้ ส่วนน้ำผึ้งช่วยระบาย แต่ต้องระวังท้องเสียได้
5.น้ำด่าง หรืออีกชื่อ หนึ่งคือ น้ำอัลคาไลน์ เป็นวิธีที่กำลังพูดถึงกันมาก แต่ไม่อยากให้ท่านดื่มเองโดยปราศจากการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากดื่มน้ำด่างมากเกินไปจะส่งผลต่ออวัยวะภายใน โดยเฉพาะกระเพาะและลำไส้ได้
6.กาแฟ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้แต่อย่าทำถี่เกินไป โดยเฉพาะในรายที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันสูงที่ผลจากกาแฟจากการสวนจะมีผลไป ซ้ำเติมอาการได้ หรือแม้แต่ในคนปกติหากดีท็อกซ์ด้วยกาแฟบ่อยเกินไปก็จะทำร่างกายดูดคาเฟอี นเข้าไปสะสมมากเกินไป
7.โสมและขมิ้นชัน ซึ่งในกรณีล้างพิษด้วยสมุนไพร 2 อย่างนี้ต้องใช้การรับประทานเป็นหลัก โดยให้ลดการรับประทานเนื้อแดง, ไขมันและน้ำตาลเพื่อลดขยะในร่างกาย ก่อนจะใช้โสมและขมิ้นชันเป็นตัวช่วย จะรับประทานแบบสดหรือแบบสกัดก็ได้ เพียงแต่ขอให้ระวังเรื่องโสม ในท่านที่มีความดันโลหิตสูงและไม่ควรรับประทานร่วมกับชากาแฟและเครื่องดื่ม ที่มีคาเฟอีน
8.คีเลชั่น เป็นวิธีการล้างพิษโลหะหนัก ด้วยการฉีดสารเคมีเข้าไปในเลือด ซึ่งมีพูดถึงกันมากแต่ก็ยังไม่ใช่วิธีมาตรฐานในตำราแพทย์ สังเกตได้จากโรงเรียนแพทย์ยังไม่มีการนำมาใช้ในคนทั่วไปนอกจากในกรณีคนไข้ รับเลือดมากจนธาตุเหล็กตกค้าง อย่างไรก็ตามวิธีที่กล่าวมาสามารถทำได้ แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับตนเอง และศึกษาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
ขอขอบคุณ น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ