หลังขึ้นปีใหม่แบบนี้ โดยทั่วไปหลาย ๆ คนมักจะมีข่าวดีให้ได้ยิ้มกัน คือการขึ้นเงินเดือนประมาณ 5-6% และในปี 2560 ยังมีเรื่องที่น่ายินดีไปกว่านั้นอีก คือนโยบายปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเพิ่มจำนวนเงินการหักค่าใช้จ่ายเงินได้ และเพิ่มการหักค่าลดหย่อน ผลก็คือมนุษย์เงินเดือนผู้เสียภาษีอย่างเรา ๆ จะเสียภาษีกันน้อยลงและมีเงินออมเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะเอาเงินส่วนนี้ไปช้อปปิ้งอะไรดี เพราะ K-Expert อยากแนะนำให้เอาเงินส่วนนี้มาจัดการให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นจะดีกว่า แล้วเราจะจัดการอย่างไรให้เงินงอกเงย มีคำแนะนำมากฝากกัน
1. ลงทุนในกองทุนรวม
เมื่อได้รับเงินเพิ่มขึ้น หลายคนอาจจะปล่อยให้เงินส่วนนี้นอนอยู่ในบัญชีเงินฝากนิ่ง ๆ แทนที่จะเอาไปลงทุน เพราะกลัวขาดทุน แต่หากมองอีกมุมจะเห็นว่าการลงทุนในกองทุนรวมนั้นก็น่าสนใจ เพราะช่วยให้เงินงอกเงยได้มากกว่าแค่ฝากออมทรัพย์เพียงอย่างเดียว ส่วนในบัญชีออมทรัพย์นั้น เก็บไว้ให้เพียงพอกับการใช้จ่ายในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าก็พอแล้ว และเงินที่เกินจากนี้ ควรนำไปเก็บไว้ในกองทุนรวม ซึ่งเป็นการใช้เงินทำงาน ให้สร้างผลตอบแทนในระหว่างที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นนั่นเอง และหากใครยังลังเล ไม่แน่ใจ K-Expert ก็มี 2 เหตุผลดี ๆ มาเสนอ ว่าทำไมถึงควรลงทุนในกองทุนรวม
ข้อแรก กองทุนรวมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าบัญชีเงินฝาก ซึ่งทั่วไปอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.5% ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นทุกปี ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเวลาผ่านไป เงินที่อยู่ในบัญชีเงินฝาก ต่อให้รวมกับดอกเบี้ยที่ได้แล้ว ก็จะนำไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้น้อยลงกว่าเดิม เรียกได้ว่า การฝากเงินแต่ในบัญชีเงินฝากอย่างเดียวก็ทำให้ขาดทุนในเชิงมูลค่าเงินได้เหมือนกัน
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ กองทุนรวมมีหลายประเภท และกองทุนรวมบางประเภทก็มีโอกาสขาดทุนน้อยมาก เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น ซึ่งมักได้รับการจัดระดับความเสี่ยงที่ 1 หรือ 2 จากทั้งหมด 8 ระดับ เนื่องจากราคาของตราสารและราคากองทุนมีโอกาสผันผวนต่ำ และโอกาสที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งได้แก่ รัฐบาลไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย และวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกันนั้นจะผิดนัดชำระหนี้ก็น้อยมาก
จากสถิติที่ผ่านมา กองทุนประเภทตราสารหนี้ระยะสั้นหลายกองแทบไม่เกิดผลขาดทุนเลยเป็นระยะเวลาหลายปีติดต่อกัน ผลตอบแทนที่ได้รับก็สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประมาณ 1-3 เท่าตัว คืออยู่ที่ประมาณ 1-2% ต่อปี และกำไรที่ได้เมื่อขายคืนกองทุนก็ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย
ถึงตรงนี้คนที่สนใจเปิดบัญชีกองทุนก็อย่ารอช้า สามารถไปเปิดได้เลย ไม่ยุ่งยาก ใช้เพียงบัตรประชาชน และสมุดบัญชีเงินฝาก สามารถเปิดได้ที่สาขาของธนาคารพาณิชย์หรือสำนักงานของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่าง ๆ
หลายคนอาจกำลังลังเลกับการทำประกันชีวิต แต่ K-Expert อยากให้มองประกันว่าเป็นการลงทุนที่ช่วยสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้ชีวิตได้ เพราะประกันชีวิตจะสามารถช่วยรักษาสถานภาพทางการเงินของครอบครัวได้มาก เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การเสียชีวิต หรือทุพพลภาพของผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างปกติ
ทั้งนี้ การทำประกันควรมีทุนประกันประมาณ 3 เท่าของรายได้ต่อปี ซึ่งเพียงพอให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังสามารถปรับตัวและตั้งหลักได้หลังเกิดเหตุ โดยการทำประกันให้ได้ทุนประกันระดับนี้ อาจจะหนักเกินไปหากเลือกทำประกันแบบสะสมทรัพย์เพียงอย่างเดียว เพราะเบี้ยประกันอาจสูงถึง 20-25% ของเงินเดือน ดังนั้น จึงควรแบ่งมาทำประกันแบบตลอดชีพบ้าง ก็จะช่วยลดจำนวนเบี้ยจ่ายโดยรวมลงมาเหลือประมาณ 10-15% ของเงินเดือน ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มากเกินรับได้นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
