สุดยอดดด!! วิธีเก็บเงิน 5 แสนภายใน 2 ปี ประสบการณ์ตรงตามวิถีมนุษย์เงินเดือน
วิธีเก็บเงินให้ได้ 5 แสน ตามวิถีมนุษย์เงินเดือนของสาวแกร่งคนหนึ่งที่ไม่ได้มีเงินเดือนสูงมากมาย แต่อาศัยความขยันและวินัยในการใช้เงินจนปั๊มเงินได้หลักแสนภายในระยะเวลาแค่ 2 ปี
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนใครก็บ่นว่าเงินเก็บไม่ค่อยจะมี แต่เชื่อเถอะค่ะว่าหากตั้งใจจะเก็บออมเงินให้ได้จริง ๆ ต่อให้เป็นมนุษย์เงินเดือนฐาน 15,000 บาท คุณก็สามารถเก็บเงินให้ถึงหลักแสนยาวไปถึงหลักล้านได้ ขอแค่มีวินัยในการใช้จ่าย และมีความขยันอดทนเหมือนคุณลูกมังกรลูกสายทาน สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มาเปิดประสบการณ์ตรงกับการปั๊มเงินเก็บ 5 แสนบาท ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี และหากใครได้ทราบเบื้องหลังการเก็บเงินให้ได้หลักแสนของเธอคนนี้แล้ว ต้องอยากซูฮกกับความแกร่งและความสามารถของเธอจริง ๆ
มนุษย์เงินเดือน ไม่ง่ายเลยกับการพยายามปั๊มเงิน 5 แสนใน 2 ปี...แต่ทำได้นะ โดยคุณลูกมังกรลูกสายทาน สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ไม่ได้ฐานะร่ำรวย ไม่อวยตัวเอง และไม่ดราม่าอะไรเลย ขอแชร์ความจริงที่ทำอยู่ค่ะ
เริ่มต้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ฉันกับสามีกลับเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อทำงานหาเงินและฝากลูกไว้ให้ยายเลี้ยงที่บ้านนา มากรุงเทพฯ ด้วยเงินที่มีติดตัว 10,000 บาท มาหางานทำใหม่ทั้งสองคน เรียกได้ว่าเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (หลังจากลาออกจากงานและตั้งใจจะกลับไปทำงานที่บ้าน มีกิจการเล็ก ๆ ของพ่อแม่ลูก)
วันแรกที่ตั้งหน้าเข้ากรุง สามีได้งานไปก่อนแล้วในสนามบิน เดือนละ 15,000 บาท ตอนนั้นเราสองคนแยกกันอยู่ชั่วคราวเพื่อให้สามีไปอยู่กับเพื่อนใกล้สนามบิน แต่ฉันอยู่กับพี่ชายที่ฉะเชิงเทรา และตระเวนหางานกว่าครึ่งเดือน จึงได้งานเลขาฯ ที่ลาดพร้าว เงินเดือน 15,000 บาทเช่นกัน จึงพากันมาอยู่ที่ลาดพร้าวค่าหอ 3,000 บาท โดยฉันเดินไปทำงาน แต่สามีมีมอเตอร์ไซค์ขี่จากลาดพร้าวไปทำงานที่สุวรรณภูมิ ไกลพอควรและหน้าฝนด้วย ฉันได้แต่บอกสามีให้อดทนในตอนแรก เพราะเราจะต้องขยับขยายได้ในวันข้างหน้าแน่นอน โชคดีที่สามีเป็นคนอดทน เขาไหว ฉันก็ไหว
แต่ฉันทำงานเลขาได้ 15 วันก็ลาออก (ปกติฉันเป็นคนอดทนมากเช่นกัน) ขอไม่แจ้งเหตุผลเพราะกระทบแก่บริษัทนั้น จากนั้นฉันหางานทำใหม่ โชคดีอย่างมาก ที่พี่ที่เรียนด้วยกันแนะนำงานให้ จึงได้งานทำโซนหัวลำโพง เงินเดือน 15,000 บาท (ทดลองงาน 3 เดือน ด้วยเงินเดือน 12,000 ก็ยอม) โดยนั่งรถจากลาดพร้าวไปขึ้นเรือที่วัดศรีบุญเรือง 1 ชั่วโมง และนั่งเรือไปโบ๊เบ๊อีก 1 ชั่วโมง เดินต่ออีก 1 กิโลกว่า ...ทำแบบนี้ 1 เดือน ก็เป็นลมบ่อยเพราะนอนน้อย จึงหาที่พักใหม่ และยอมทิ้งเงินประกันหอไป (ประกันหอ ต้องเช่าอย่างน้อย 4 เดือน) แล้วเราก็ไปพักที่ลาดกระบัง เพื่อให้สามีได้ทำงานใกล้ ๆ เดินทางสะดวก แต่ฉันนั่งรถไฟเข้าหัวลำโพง สะดวกขึ้นมาอย่างมากมาย ...การเดินทางและที่อยู่ของเราเริ่มพอดีและรับไหวที่ลาดกระบัง จึงเริ่มอยู่ตัว
เราสองคนหาเงินรวมกันได้ 30,000 บาทต่อเดือน มีเงินเบี้ยเลี้ยงที่ฉันออกต่างจังหวัดอีกนิดหน่อย โดยส่งให้ลูกเดือนละ 5,000 บาท นอกนั้นก็ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ค่ากินค่าอยู่ มีเงินเก็บในครอบครัวเดือนละ 5,000-6,000 บาท ซึ่งก็ดีกว่าไม่ได้เก็บอะไรเลย
หลังจากอยู่กับสามีได้ 1 ปีกว่าก็ต้องหย่ากัน ไม่ขอแจ้งสาเหตุเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อทั้งสองฝ่าย (โดยที่ทุกวันนี้ก็สามารถคุยกันได้เรื่องลูก แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คุย) ฉันเลือกที่จะออกมาจากหอลาดกระบัง เพราะสามีเขาจะได้เดินทางสะดวกตรงนั้นไม่ต้องหาที่อยู่ใหม่ (ขณะนั้นเขามีเงินติดตัวอยู่หลักหมื่น และคืนพระเลี่ยมทองให้เขา) และฉันก็เลือกย้ายออกมาหาที่อยู่ใหม่ โดยมีเงินติดตัวหลักหมื่นเช่นกัน และที่ดินที่ฉันเคยซื้อร่วมกับเขานั้น (ตอนซื้อมูลค่า 2 แสน) ฉันขอไว้เพื่อให้ลูกวันข้างหน้าเท่านั้นพอ โดยใบหย่าไม่ได้สลักข้อความเรื่องพ่อต้องเลี้ยงดูบุตรแต่อย่างใด และฉันก็ไม่ได้ตั้งใจผูกมัดเขาด้วยเรื่องนี้ คิดว่าเขาให้ก็รับ เขาไม่ให้ก็คงเก็บไปให้ครอบครัวใหม่
ฉันออกมาหาที่อยู่ใหม่ได้ลงตัว (ไม่บอกพิกัด เพราะไม่ต้องการให้เขาหรือใครรู้ นอกจากพี่สาว น้องสาวก็พอ) เดินทางง่าย แต่อยู่เขตนอกเมืองเช่นเดิม แต่เงินเดือนเท่าเดิมกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เดือนแรก ๆ ฉันจึง "กินเงินเก็บ" คือ ยังคงส่งลูกเดือนละ 5,000 เช่นเดิมกับรายจ่ายอื่น ๆ ของฉันเองที่มากเกินเงินเดือน นึกถึงตัวเลขรายจ่ายตอนนั้นแล้ว ไม่ได้ท้อใจเลย แต่บอกตัวเองเสมอว่าต้องดีขึ้นสิน่า
ตอนนั้นเงินเดือน 15,000 บาท ได้เงินมาปุ๊บจะถูกหักจ่ายออกทันที คือ
มีค่าหอ 2,500 ค่าประกันชีวิต 2,600 ค่าส่งลูก 5,000 ค่ากองทุนและประกันสังคม 1,200 กินอีก 2,000 บาท ประหยัด ๆ เอา (กินให้เขียม ๆ แต่ไม่นิยมมาม่าเพราะผมร่วง นิยมไข่มากกว่า) ค่ามือถืออินเทอร์เน็ตและของใช้ส่วนตัวอีก 2,000 ค่าเดินทาง 800 รวมค่าใช้จ่ายไว้ก่อน 16,100 บาท โดยไม่นับรวมค่าจิปาถะอะไรอื่น เช่น อยากกลับบ้านหาลูก ต้องไปหาป้าที่ป่วยหนัก ... คือ ใช้เงินเก่าที่เคยเก็บด้วย
ไม่ได้การละ ต้องหารายได้เพิ่ม ฉันเดินผ่านโบ๊เบ๊ทุกวัน จึงคิดขายของทางเน็ต (ตั้งปณิธานว่าจะไม่ทำอะไร ขายอะไรที่เบียดเบียนสุขภาพ ร่างกาย จิตใจผู้อื่น หรือหากินกับปมด้อยของผู้อื่น)
พอเริ่มตอนนั้นก็ได้กำไรนะ (คือหักทุนแล้ว แต่ยังไม่นับที่สต็อกไว้) กำไรต่อเดือน เดือนละ 150-900 บาท ตัวเลขไม่ผิดค่ะ ได้กำไรเดือนละไม่ถึงหนึ่งพันบาท
ไม่เป็นไร ได้เพิ่มมาอีก 1,000 ก็ดีแล้ว ก็เริ่มหาทำงานอื่นอีก
คิดจะไปรับจ้างทำสวน ก็กลัวสวนเขาเสีย คิดจะล้างจานก็จะไปแย่งงานเขา คิดไปมากมาย คิดสะระตะ อยากได้เงินเพิ่ม...
ตอนนั้น โชคดีที่ทำงานมีโครงการเล็ก ๆ ได้ออกไปต่างจังหวัด และมีเบี้ยเลี้ยงครั้งละ 1,000-2,000 บาท เดือนนึงมี 1-2 ครั้ง รู้สึกหายใจได้โล่งท้องมากขึ้น และก็รับงานถอดเทป รับพิมพ์งาน ก็ได้มากอีกนิดหน่อย ...แต่ที่แน่ ๆ ได้ความรู้และพัฒนาศักยภาพด้านการเขียน การฟัง การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ของเรามากขึ้นอย่างไวจากทั้งงานที่ฉันรับทำ และจากเจ้านายที่เป็นวิทยากรที่เขาเอ็นดูฉัน ฝึกฉันให้ลองเขียนรายงาน เขียนงานต่าง ๆ และให้ไปช่วยสรุปบทเรียน ถอดเวทีประชุมเป็นบางครั้ง ทำงานจนถึงตี 3 ทุกวัน...งานที่เจ้านายส่งมาให้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่ารายได้มันอาจจะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่บ่อย และสะสมเข้าบัญชีโดยไม่รู้ตัว
โดยหลักการใช้เงินของฉันคือ สะสมทีละน้อย ไม่ดูถูกเงินน้อย และแต่งกลอนเตือนใจ ให้ตัวเองทำตาม
"รู้คุณค่า บาทสองบาทก็ต้องเก็บ
เมื่อยามเจ็บ บาทสองบาทก็ต้องใช้
อีกส่วนหนึ่ง ให้แทนคุณพ่อแม่ไป
เอาไว้ใช้ ดูแลท่าน ยามชรา"
และวันหนึ่ง พี่ที่ทำงานด้วยกัน เขาก็ลาออก เหลือฉันดูแลออฟฟิศคนเดียว (เป็นออฟฟิศเล็ก ๆ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร ไม่มีเงินบริจาค ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี และได้เงินจากการบริหารโครงการและเอาเงินส่วนหนึ่งเข้าองค์กร) พอฉันต้องทำงานคนเดียว ทั้งการเงิน งานเขียน งานประสานงานโครงการ ดูแลตารางงานเจ้านาย และทำทุกอย่างเพื่อความเรียบร้อยของออฟฟิศ พอมีประชุมกรรมการประจำปีนั้น เจ้านายเชิญฉันออกจากที่ประชุม (มานั่งจ๋องนอกห้องประชุม เพราะไม่รู้ว่าเขาแอบคุยอะไรกัน)
แล้วเจ้านายก็ประกาศว่า ที่ประชุมเห็นชอบและมีมติขึ้นเงินเดือนให้ฉันเป็น 20,000 บาท ไม่นับรวมค่ากองทุน ประกันสังคม และเบี้ยเลี้ยงงานนอกอื่น โดยเจ้านายแอบทราบมาว่าฉันเป็นซิงเกิลมัมที่ทำงานได้ดี สุจริต และขยัน น้ำตาลไหลเลยค่ะที่ทุกคนเมตตา...นั่นคือเงินเดือนประจำที่ได้เพิ่มขึ้น แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วและจะทำงานถวายหัวเลยล่ะ (เจ้านายของฉันเป็นกรรมการคนหนึ่งที่ดูแลและก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้น และดูแลองค์กรนี้อย่างใกล้ชิด จึงเป็นเจ้านายที่ฉันทำงานอย่างใกล้ชิด)
และรายได้ทางอื่นก็เข้ามาเป็นครั้ง ๆ ไป (จากเบี้ยเลี้ยง พิมพ์งาน ถอดเทป สรุปงานฯ)
และการขายของทางเน็ตก็ดีขึ้น ได้กำไรมากกว่า 1,000 บาทแล้ว
โดยที่ค่าใช้จ่ายฉันก็คงที่ มีรายจ่ายขึ้นมานิดหน่อยตรงที่ พาพ่อแม่ พี่ชาย ยาย และลูก ไปเที่ยวพักผ่อนไกล ๆ (หาร 2 กับพี่ชาย) ไปแม่สาย ไปภูเก็ต ชลบุรี เอาเงินไปต่อเติมบ้าน ซื้อของให้พ่อกับแม่ และของเล่นลูกซึ่งตามรีเควสของลูกชาย (เขาขออย่างหนึ่ง ฉันก็ให้อีกอย่างที่ดูเท่ากันแต่ราคาต่ำกว่า) เหล่านี้เพื่อให้รางวัลความเหน็ดเหนื่อยของตัวเองและครอบครัว
ฉันทำรายรับรายจ่ายของตัวเองมาตลอด เพื่อ...
จะได้คุมค่าใช้จ่ายตัวเอง มันไปโผล่อันไหนมากไป คราวหน้าจะได้ยั้งมือ
สรุปรายรับ รายจ่ายทุกสิ้นเดือน ดังนั้น จะเห็นเงินเก็บเสมอ ตัวเลขที่เป็นเงินเก็บนี้เป็นกำลังใจให้ฉันทำงานต่อได้อย่างดี
เพื่อแสดงความสุจริตใจต่อตัวเอง และงานที่ฉันทำ เพราะฉันรับผิดชอบทำการเงิน (โดยมีฝ่ายบัญชีควบคุมดูแลอีกที) ให้แก่โครงการและออฟฟิศด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่า วันหนึ่งที่เรามีเงินโผล่มาเยอะ (วาดฝันไว้ก่อน 555+) ใคร ๆ เขาจะคิดว่าฉันเอาเงินมาจากไหน
...ตรงนี้ฉันมีหลักฐานที่มาของรายได้ เงินเก็บ ฮ่า ๆๆ ทำยังกะนักการเมืองแสดงทรัพย์ แต่เพื่อป้องกันตัวเองในวันข้างหน้า ฉันต้องทำไว้ก่อน และคอยแสดงทรัพย์สินนี้ให้พี่ชายดูเป็นระยะ จะได้มีพยาน พี่ชายเห็น เขาก็ดีใจด้วย แต่เขาก็เห็นเราประหยัดมาก จึงพยายามชวนกินนั่นนี่บ่อย ๆ เราก็ไม่ค่อยกินไม่ค่อยเที่ยว แต่กลับบ้านทีไร หรือพาพ่อแม่มาเที่ยวทีไร สามารถจ่ายให้ได้ไม่อั้น (แต่พ่อแม่ก็ดีมาก ที่ไม่ผลาญลูก ๆ เที่ยวกินแต่พอดี)
อันนี้เป็นสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่ายของตัวเองทุกบาท ย้ำว่าทุกบาท (สมุดนี้ทำมาตั้งแต่เริ่มทำงานเมื่อ 8 ปีที่แล้ว)
การใช้ชีวิตของฉันไม่มากมาย ถามว่าเหนื่อยไหม ก็ไม่เหนื่อยหรอกเพราะเราใช้ชีวิตแบบธรรมดาตั้งแต่เด็ก ๆ จนชินและเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ได้พยายามอะไรมากมาย
กินง่ายอยู่ง่าย กินข้าวแค่ 3 มื้อ ไม่ชอบกินขนม ไม่มีชากาแฟ (แพ้) มีแต่ผลไม้ ไม่มีนัดเพื่อนไปปาร์ตี้ (เพื่อนคงเลิกคบหมดแล้ว แต่เพื่อนสนิทเขาเข้าใจฉันว่าภาระเยอะ) อยากกินข้าวกับพี่ชายน้องสาวก็ไปกินและหารกัน
ของใช้ ใช้พอดี พี่ ๆ เอาเสื้อผ้ามาให้ใช้ก็ใช้ เอากระเป๋ามาให้ก็ใช้ เจ้านายไปต่างประเทศเอากระเป๋าเสื้อผ้ามาฝากก็ไม่ค่อยจะใช้เพราะมันไม่ใช่สไตล์ ฮ่า ๆๆ ในระยะ 4 ปีมานี้มีรองเท้าแค่ 3 คู่ คู่ดีไปงานกับเจ้านาย คู่รัดส้นไปประชุม และคู่หนีบแบบฟลิปฟลอปแต่เป็นยี่ห้อแอ๊ดด้า ใช้ของจนคุ้ม ซักทำความสะอาดซ่อมแซมอย่างดี
เพราะความที่ฉันเป็นคนไม่มีวัตถุมากมาย แต่ใจน่ะมีเหลือเฟือ ฉันทำงานประสาน จึงเปิดรับบริจาคจากเพื่อน เพื่อแบ่งให้คนอื่นบ้างประปราย เพื่อชโลมจิตใจตัวเอง เช่น รับบริจาคหนังสือเพื่อส่งต่อให้น้อง รับบริจาคเสื้อผ้า ชุดชั้นใน ของใช้ให้แก่น้อง ๆ ที่ไม่มี ส่วนมากเป็นน้อง ๆ เด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไร้สัญชาติที่มาเมืองไทย ปีนึงก็ชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทำกิจกรรมสัก 1 ครั้ง ที่ให้แต่น้อง ๆ เพราะเมื่อครั้งเป็นเด็ก ฉันก็ไม่มี (แต่ไม่ได้รู้สึกขาดอะไร)
จนวันหนึ่ง เดือน ก.พ. ปี 2558 มีประชุมกรรมการประจำปี และมีวาระว่าด้วย ตึกออฟฟิศที่เราอยู่จะถูกยึดคืน (หลังจากที่อยู่กันมานานกว่า 25 ปี) ซึ่งประธานกรรมการก็อยากให้ออฟฟิศไปอยู่รวมกันภายใต้องค์กรของประธานกรรมการ (ประธานคนนี้ใจดีมาก ๆ เป็นนักธุรกิจใหญ่ใจดี เป็นประธานเครือข่ายนักธุรกิจใหญ่ เป็นประธานองค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายองค์กร และสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมโดยให้เปล่ามากมาย และเคยฟังแนวคิดชีวิตและการทำงานของเขาแล้วขอนับถือด้วยใจจริง) ซึ่งอยู่แถวท่าพระ และกรรมการทุกคนก็ดีใจยิ้มย่อง หวังให้องค์กรมีออฟฟิศที่มั่นคงไปอีกนานภายใต้การสนับสนุนของประธานกรรมการ...แต่ฉันใจหายคนเดียว
เพราะหากไปทำงานแถวนั้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก ค่าที่พักแพง 5,000-7,000 แน่ ๆ ค่าอาหารหลังจากได้เดินตลาดบ้าน ๆ ก็แพงกว่าที่ปัจจุบัน และไม่ได้ขายของ ที่แน่ ๆ คือ เขาคงไม่พิจารณาขึ้นเงินเดือนของฉันให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือน
จึงเรียนเจ้านายตามตรงว่า หากต้องย้ายไป ขอเข้างานเพียงสัปดาห์ละวัน เพราะค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าตัว จึงต้องหารายได้เพิ่มมากขึ้น และหากวันหนึ่งร่างกายแก่ตัวไป ก็ต้องพัก (ความคิดคนเรามันน่ากลัวตรงนี้นี่เอง) จึงอยากหางานที่มั่นคงในวันข้างหน้า คือจะเรียนต่อ แล้วอาจจะกลับไปทำงานอาจารย์ที่บ้านนา ...ท่านเอ่ยมาเสียงอ่อน ๆ ว่า จะทำอะไรก็รีบแจ้งกันนะ ใจหายเลย แต่สนับสนุนเต็มที่ถ้าตั้งใจจริง
โดยที่การเรียนต่อคราวนี้ ต้องใช้เงินค่าหลักสูตร 650,000 เป็นอย่างต่ำ และคิดว่าค่าใช้จ่ายระหว่างนั้นก็ต้องมีอย่างน้อยรวม ๆ คือ 1,000,000 บาท เพื่อให้ช่วงเวลาที่เรียนนั้นไม่ต้องเครียดกับการหาเงินระหว่างเรียนหรือหยิบยืมคนอื่นให้เหนื่อยหัวใจ
จึงต้องเร่งปั๊มเงิน ....ใช่ค่ะ นี่เพิ่งจะเริ่มต้น
(รู้สึกเห็นใจนะคะที่เสียค่าเน็ต อ่านข้างบนมาตั้งนาน เพิ่งจะเริ่ม แต่กว่าจะมาเป็น 5 ก็อยากให้เห็น 1-4 ที่เซ ๆ คืบ ๆ ก้าว ๆ มาตลอด ไม่มีอะไรที่โรยด้วยกลีบมะลิ)
ย้อนกลับมาดูเงินเก็บตัวเอง ที่ผ่านมาเก็บประปรายในแต่ละเดือน แอบซื้อสลากออมสินบ้าง (ไม่เล่นหุ้น ไม่มีความรู้) และแอบเก็บแบบฝากประจำอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งครบเวลาที่ถอนพอดี จึงได้เงินมา 1 ก้อน เอาไปฝากบัญชีไว้ละกัน
ในส่วนของงานเพื่อปั๊มเงิน?
เจ้านายใจดีเสมอมา และสนับสนุนให้ฉันเรียนต่อเต็มที่ ท่านก็แซวเราเสมอว่าอยากได้ลูกน้องเรียนสูงอีกสักคน (องค์กรนี้ปั้น ดร. มาแล้ว 4 คน) ทีนี้งานเข้าเลย เจ้านายรับงานเขียนและสรุปบทเรียนมาให้ตลอด มีที่ไหนให้น้อยให้มากก็ถามก่อนว่าไหวไหม ถ้าไหวรับให้ ซึ่งก็ไหวทุกงาน (เราก็แอบจัดให้เจ้านายเหมือนกัน รับงานวิทยากรให้ถี่ ๆ เลย)
อยู่ ๆ ค่าเขียนงานก็เพิ่มขึ้น มีตั้งแต่ทำฟรี ครั้งละ 1,000 บาท ถึงสูงสุดครั้งละ 20,000 บาท (ดีใจมากมาย ไม่เคยได้มาก่อนเลย) โดยคุณภาพงานเขียนนั้น เจ้านายและพี่ ๆ ทีมงานเขียนเป็นคนตรวจสอบให้ก่อนส่งงาน คอยแก้งานให้ คอยพัฒนาภาษา ยกระดับความสามารถด้านการนำเสนอมากขึ้น และคอยให้กำลังใจเสมอ ...ในระยะนี้ ได้ค่าเขียนงานมาเท่าไร นอนลูบอยู่ 1 คืน ก็เอาเก็บเข้าบัญชีไปโดยด่วน
อยู่ ๆ ขายของก็ได้มากขึ้น ไม่รู้ว่าอาจจะเป็นเทรนด์หรืออะไร ลูกค้าหน้าใหม่ก็เยอะขึ้น ทำให้ต้องนอนดึกเพื่อเคลียร์งานเขียน และตื่นเช้าเพื่อรีบไปซื้อของ-จัดของส่งลูกค้า แล้วก็ทำงานออฟฟิศปกติในตอนกลางวัน ...ได้นอนน้อยลง ว่างเมื่อไรนอนทันที นอนตอนนั่งรถ นอนตอนเดินทาง แต่ตัวเลขเงินในสมุดรายรับ-รายจ่ายมันเพิ่มขึ้น อุ๊ย ดีใจหายเหนื่อย สรุปกำไรทุกเดือน เอาเงินเก็บเพื่อเรียนทุกเดือน
... โทรหาแม่ บอกแม่ว่าวันนี้ขายได้เท่านี้ เดือนนี้ได้กำไรเท่านี้ แม่ก็ดีใจด้วยบอกว่า แม่ทำไร่ข้าวโพดทั้งปี หักโน่นหักนี่ยังไม่ได้เท่านี้เลยลูกเอ๊ย เก็บเข้านะ ไม่ต้องโอนมา (ฉันบอกแม่ว่า จะเรียนต่อ ทำให้แม่พร่ำบอกเสมอว่าไม่ต้องโอนมา มีเงินใช้อยู่...ส่วนพ่อ ฉันกับพี่ชายช่วยกันคนละครึ่งเป็นเงินให้กำลังใจคนแก่เดือนละ 1,500 บาท หากกลับบ้านก็ให้พิเศษตามกำลังในช่วงนั้น)
ส่วนเงินเดือน เป็นเงินที่ถูกหักค่าโน่นนี่แล้วหมดบ๋อแบ๋ ...เงินเก็บคือเงินที่ได้จากงานพิเศษ มาจากเหงื่อจากสมอง สองมือ และใจที่พร้อมเผชิญความจริง
ขออนุญาตให้ดูตัวเลขที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เห็นว่าไม่ได้จุดเขียนอวยตัวเองหรืออะไร ไม่ใช่ตัวเลขที่ขึ้นมาผิดปกติ แต่มีที่มาทุกบาท (ก่อนมีนาคม ฉันแสดงรายได้และเสียภาษีทุกปี)
สุดท้าย ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ
แค่อยากให้ตัวเอง (และใคร ๆ) ตั้งใจ พยายามทำ ทำให้พอดี ไม่เร่งหรือเบียดเบียนร่างกายตัวเองและผู้อื่น ที่สำคัญคือ มีเป้าหมายเล็ก ๆ ขยับทีละเป้าหมาย ไม่เอาเป้าหมายใครมาตั้ง แต่มีเป้าหมายของตัวเอง ไม่ไปแข่งกับใครให้อึดอัด แค่แข่งกับตัวเองในการเอาชนะความขี้เกียจก็พอละ
แค่อยากให้กำลังใจตัวเอง และให้กำลังใจผู้อื่น ได้เห็นว่า กว่าจะขึ้นมาอยู่จุด 5 ได้ มันต้องผ่านอะไรมาตั้ง 1-4 เนาะ มันไม่ง่ายเลยหากนั่งมองเป้าหมายโดยไม่ออกเดินทาง ให้ลองทำดู หากเหนื่อยหากท้อ กลับไปมองจุดเริ่มต้นก็จะเห็นว่า เราก็เก่งนี่นา ทำมาได้ตั้งเยอะแล้ว ให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ เพราะกำลังใจที่จะทำให้ตัวเองลุกก็คือกำลังใจจากตัวเองมากกว่าคนอื่น
แม้ว่าไม่มีเป้าหมายอะไรมากมาย แต่วันหนึ่งข้างหน้าไม่มีอะไรที่แน่นอน แม้ไม่ได้บูชาเงิน เพราะเงินอาจไม่ได้สำคัญเท่าความสุข แต่เงินก็คือปัจจัยที่ทำให้เราไปถึงความสุขแบบอื่น ๆ ได้ ถ้าเรารู้จักใช้มัน... อ้อ และวันข้างหน้า ผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น การเก็บออมก็เพื่อดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ก็จงทำ โดยไม่ต้องให้ลูกหลานมารับภาระเรามากมาย