คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า 10 สัญญาณเตือนของร่างกาย ไม่ควรชะล่าใจ!

คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า 10 สัญญาณเตือนของร่างกาย ไม่ควรชะล่าใจ!

อย่าชะล่าใจว่า แค่ผมร่วง เล็บเหลือง หรือแม้แต่ริ้วรอยร่วงลึก ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาตามวัย ตามกรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อม … คุณรู้ไหมคะว่า สภาพอวัยวะที่เปลี่ยนไปคือ สัญญาณบ่งบอกโรคร้ายกำลังมาเยือน เราไล่เรียงกันตั้งแต่ศีรศะจรดปลายเท้ากันเลย

1) เส้นผม-ขนคิ้วร่วง-> ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
       

           แม้มีสาเหตุผมร่วงหลากหลาย ตั้งแต่กรรมพันธุ์, หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์, ความเครียด, การใช้ยาบางชนิด รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน …เหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุทำให้สูญเสียเส้นผมได้ทั้งนั้น
          แต่หากคุณมีอาการผมร่วงมากผิดปกติ จนแทบกลายเป็นคนผมบางแล้วล่ะก็ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ต่อมไทรอยด์ของคุณทำงานผิดปกติ และโรคต่อมไทรอยด์ผิดปกติไม่ได้ส่งสัญญาณผ่านเส้นผมบนศีรษะเท่านั้น หากแสดงอาการผ่านขนคิ้วด้วย ลองส่องกระจกมองหน้าอันเปลือยเปล่าดูซิคะ สังเกตที่บริเวณคิ้วว่าสั้นลงหรือไม่ วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้มองเห็นได้อยางชัดเจนคือ ลองเอาดินสอ หรือไม้บรรทัดตรงๆ วางทาบจากหางตาขึ้นไปยังหางคิ้ว หากพบว่าขนที่บริเวณหางคิ้วหลุดร่วงคิ้วสั้นกุด ก็เป็นไปได้ว่าต่อมไทรอยด์ของคุณกำลังมีปัญหา!

          ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroxin) มีหน้าที่ในการเผาผลาญอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ (cell) ที่สึกหรอในร่างกาย ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เซลล์ในร่างกายก็จะเสื่อมโทรมส่งผลให้เกิดอาการขนคิ้ว (โดยเฉพาะบริเวณหางคิ้ว) หลุดร่วง, เส้นผมแห้งและหลุดร่วงง่าย, น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ, รู้สึกเหนื่อยง่าย, และท้องผู้อีกด้วย
          เมื่อสังเกตุเห็นอาการเหล่านี้ ต้องรีบไปพบแพทย์อย่างด่วนจี๋ เพื่อตรวจเลือด วัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ หากพบว่าฮอร์โมนดังกล่าวต่ำลง หรือสูงเกินไป จะได้รีบเยียวยารักษาให้ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนกลับมาอยู่ในระดับปกติ ตามที่ควรจะเป็น


2) ริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า->โรคกระดูกพรุน

       
จริงอยู่ ริ้วรอยแห่งวัยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกิดขึ้นตามวัยก็ตามที แต่บางครั้งริ้วรอยก็บ่งบอกถึงสัญญาณของโรคกระดูกพรุนได้ มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่าริ้วรอยบนใบหน้าของคุณสาวๆ บ่งบอกได้ว่า เธอมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากระดับโปรตีนในผิวหนังมีความเชื่อมโยงกับกระดูก และริ้วรอยลึกและรอยหยาบกร้านบนผิวหนังสัมพันธ์กับความหนาแน่นของกระดูกที่ลดลง จึงหมายความว่า ยิ่งใบหน้าและลำคอมีริ้วรอยมากเท่าไหร่ สาวนางนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้น


3) ตาเหลือง->โรคตับ


ในภาวะปกติ ตาขาวควรจะสดใสสุขภาพดี ทว่าหากจู่ๆ ตาขาวเกิดเปลี่ยนเป็นสีเหลือง นั่นเป็นสัญญาณของโรคตับ เช่น ตับแข็งหรือตับอักเสบ นอกจากนี้ยังสามารถบอกถึงอาการผิดปกติของถุงน้ำดีอีกด้วย ฉะนั้น "ตาเหลือง" คือ สัญญาณที่ไม่ปกติเอาเสียเลย หากส่องมองกระจกแล้วพบว่า ดวงตาขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติด่วนนะจ๊ะ



4) ปากเหม็น->หัวใจกับกระดูกผิดปกติ



อย่าคิดว่าปากเหม็นเป็นเพียงสัญญาณของโรคเหงือก และฟันเพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะการที่คุณมีกลิ่นปาก ทั้งที่พยายามดูและสุขภาพในช่องปากเป็นอย่างดีแล้ว อาจเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากความผิดปกติของหัวใจและกระดูกของคุณ เมื่อปี 2010 นักวิจัยชาวสก็อตแลนด์ เผยแพร่งานวิจัยในสารสารทางการแพทย์ของประเทศอังกฤษว่า การแปรงฟันช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ ผู้ที่แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยแปรงฟันมากถึง 70%
          นอกจากนั้นการที่คุณมีภาวะฟันผุง่าย ยังเป็นการบ่งชี้ได้ถึงสัญญาณของโรคกระดูกพรุน เพราะการที่ฟันผุกร่อนได้ง่ายนั้น หมายถึงความหนาแน่นของกระดูกขากรรไกรที่น้อยลง จึงไม่แปลกเลยที่ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน มักฟันผุได้ง่าย


5) ริมฝีปากแห้ง->โรคภูมิแพ้


 ริมฝีปากคุณแห้งและแตกอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณบอกถึงโรคภูมิแพ้หรือหากบริเวณมุมปากแห้ง ก็เป็นการบ่งบอกว่าคุณอาจเป็น โรค Sjogren's syndrome หรือที่คนไทยเรียกว่า "โรคปากแห้ง ตาแห้ง" ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ คล้ายกับโรคพุ่มพวง
    
          ภูมิคุ้มกันที่ผิกปกติในผู้ป่วยโรค Sjogren มักจะไปทำให้เกิดการอักเสบที่ต่อมน้ำลาย และต่อมน้ำตา ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปากแห้งตาแห้ง รวมถึงมีอาการผิวแห้ง ปวดข้อ และอ่อนเพลียร่วมด้วย


6) ปื้นสีดำ หลังคอ->โรคเบาหวาน


เกิดคุณพบว่าด้านหลังคอของคุณ เป็นรอบดำปื้นๆ ขัดถูอย่างไรก็ไม่ออก แสดงว่าคุณมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้ คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวแม็กซิโก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า ผู้ที่มีผื่นผิวหนังเป็นรอยหรือเป็นแถบดำคล้ำแบบนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ทว่าแม้จะมีความเสี่ยง แต่หากสังเกตุเห็นแล้วรีบไปตรวจรักษาแต่เนิ่นๆ การรักษาโรคก็ย่อมจะได้ผลดีกว่า

7) ผื่นผีเสื้อ บนใบหน้า->โรคพุ่มพวง


และถ้าจู่ๆ ใบหน้าคุณมีผื่นขึ้น โดยเป็นผื่นตั้งแต่บริเวณสันจมูก ลากยาวไปที่โหนกแก่มทั้งสองข้างเป็นรูปคล้ายผีเสื้อ ทางการแพทย์เรียกว่า ผื่นผีเสื้อ (Buttery Rash) ซึ่งผื่นผีเสื้อนี้มักพบในผู้ป่วยโรค SLE (Systermic Lupus Erythrematosus) ที่คนไทยเรารู้จักกันในนาม "โรคพุ่มพวง" หรือโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง

8) เล็บขาว-เล็บบุ๋ม-เล็บเป็นลอน->นานาสารพัดโรค


เพราะเล็บสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติในร่างกายได้มากมาย เช่น เล็บเปลี่ยนสี เกิดรอยบุ๋ม หรือบิดเบี้ยวผิดรูปไป ก็เป็นเรื่องปกติของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน หรือผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง กรณีมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ร่วมด้วยก็เป็นสัญญาณว่า คุณอาจกำลังเป็นโรคท่เกี่ยวกับไขข้อค่ะ

          เท่านั้นไม่พอ เล็บเป็นร่อง บอกให้ทราบถึงความผิดปกติของไต, เล็บเป็นลอน (ตามขวาง) บ่งบอกว่าฮอร์โมน (Hormone) ในร่างกายผิดปกติ ซึ่งอาจเพราะคุณกำลังมีโรคร้ายแรงจึงทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง, เล็บสีเขียวคล้ำ นั่นคือคุณอาจกำลังป่วยด้วยโรคหืดอย่างรุนแรง, โรคถุงลมโป่งพอง หรือโรคหลอดลมอักเสบ, เล็บขาว บอกถึงความผิดปกติของตับ ไต อาจมีภาวะโลหิตจาง หรือตับอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น

          ส่วนเล็บเหลือง อาการนี้อาจแสดงว่าคุณเป็นโรคเบาหวาน เนื่องมาจากการที่น้ำตาลซึ่งมีอยู่มากในร่างกาย ไปรวมตัวเข้ากับคอลลาเจน (Collagen) และโปรตีน (Protein) ในเล็บ จึงทำให้เล็บเปลี่ยนจากสีชมพูไปเป็นสีเหลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปัสสาวะบ่อย แถมรู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียร่วมด้วย แม่นแล้ว แม่นแล้ว เบาหวานมาหา

          เมื่อทราบว่าเล็บบอกโรคได้มากมายขนาดนี้ หมั่นสังเกตเล็บสักนิดนะคะ หากพบว่าผิดปกติก็อย่ารอช้ารีบตรวจหาสาเหตุ เพื่อจะได้ดูแลรัะกษาอย่างทันท่วงที



9) เท้าบวม->โรคหัวใจ



 อาการเท้าบวม อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งอุบัติเหตุทำให้เคล็ดขัดยอดจนบวม, กรรมพันธุ์, ระหว่างตั้งครรภ์, ความอ้วน หรือการใช้ยาบางชนิดที่ทำให้มีการกักเก็บน้ำไว้ในขามากเกินไป
          แม้อาการเท้าบวมจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากเกิดภาวะดังกล่าวขึ้นก็ไม่ควรวางใจ เพราะอาการเท้าบวมขาบวมนั้น ถือเป็นอาการสุดคลาสสิกของโรคหัวใจ โดยอาการเท้าบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถไหลเข้าไปยังหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงทำให้มีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น


10) ไฝเปลี่ยนขนาดเปลี่ยนสี->โรคมะเร็งผิวหนัง


หลายคนมีไฝติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งนั่นก็มิใช่ความผิดปกติอันใด แต่ทว่าไฝที่รักของคุณเกิดเปลี่ยนแปลงจากเม็ดเล็กจิ๋วกลายเป็นใหญ่ขึ้นๆ หรือจากสีจางกลายเป็นเม็ดไฝสีที่เข้มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งผิวหนัง

ดังนั้น ไฝที่อยู่ติดกายมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็ต้องหมั่นสังเกตหน่อย หากมีการเปลี่ยนแปลง หรือผิดปกติก็ควรไปพบแพทย์ อย่านิ่งนอนใจค่ะ

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : www.hiso.or.th