เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 63 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล โดยช่วงเช้ามีหน่วยงาน ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
เวลา 07.00 น. พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 14 ธ.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 45 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อย เดินทางมาต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ โดยในเวลา 04.50 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ และเมื่อได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
จากนั้นเวลา 10.30 น. พล.อ.สสิน ทองภักดี เป็นประธานถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดนมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพ
น.ส.นิภา แซ่กอ อายุ 83 ปี พร้อมกลุ่มเพื่อน นางซู่ง้อ สุขจดิษฐ์ อายุ 83 ปี นางฉลวย สิงห์คำราม อายุ 83 ปี และนางบุญทัน วิบูรณ์ชาติ อายุ 84 ปี พสกนิกรจาก จ.นครปฐม กล่าวว่า เดินทางมากราบพระบรมศพเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งก่อนมากันหลายคนเหมารถตู้กันมาต้องรอกันหลายคน คราวนี้จึงนัดกลุ่มเพื่อนมากันเองโดยรถไฟฟรีสายนครปฐม-ธนบุรี มาลงที่สถานีศิริราชก่อนลงเรือแล้วเดินมาต่อแถวที่สนามหลวง ที่อยากมาอีกครั้งเพราะเรารักพระองค์มาก ตอนอายุ 13 ปี ก็เห็นพระองค์ขึ้นครองราชย์ตอนนั้นท่านยังหนุ่มอยู่ แล้วได้เห็นพระองค์ทรงงานปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนมาโดยตลอด
ท่านเสด็จฯ ไปช่วยเหลือชาวเขาที่ภาคเหนือ ช่วยชาวใต้เรื่องน้ำท่วม ส่งเสริมให้มีการเกษตรปลูกพืชผักสร้างอาชีพ เราจึงได้เห็นการพัฒนาประเทศมาตั้งแต่แรกเริ่มกระทั่งเป็นประเทศไทยถึงปัจจุบัน กว่า 70 ปีที่ท่านทรงเหน็ดเหนื่อย แต่กลับสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ต่อสู้ในการดำเนินชีวิต อีกทั้งไม่ลืมที่จะสอนและบอกต่อเรื่องราวของท่านผ่านไปยังลูกหลาน ให้มีความรักต่อพระองค์ พร้อมนำคำสอนเรื่องความประหยัด พออยู่พอกิน มีน้อยใช้น้อย ไม่ฟุ่มเฟือย และปลูกพืชผักกินเองดีต่อสุขภาพใช้ชีวิตแบบพอเพียง
ด้าน นางจันทร์ ถิ่นหอม พสกนิกรจาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ อายุ 86 ปี หนึ่งในผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้อยู่อาศัยในหมู่บ้านรวมไทย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เดินทางออกจากหมู่บ้านตั้งแต่สามทุ่ม มาต่อคิวตั้งแต่ช่วงตีสอง แม้จะเดินเร็วไม่ได้เนื่องจากอายุมากแล้วแต่ก็ขอไม่ใช้รถวีลแชร์ เพราะอยากให้คนอื่นได้ใช้มากกว่า และรู้สึกไม่สะดวก อยากร่วมขบวนไปกับคณะที่มาด้วยกัน โดยกล่าวว่า ตนอายุมากแล้ว อยู่มา 4 รัชกาลแล้วก็ว่าได้ แต่ตอนที่ยังเล็กๆ นั้นจำอะไรไม่ได้มาก แต่กับรัชสมัยรัชกาลที่ 9 นี้ มีความทรงจำมากมาย วันนี้จึงต้องมากราบสักการะให้ได้ ถือว่าได้ทำหน้าที่ของประชาชนคนไทยแล้ว
“ในอดีตอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ก็มารับจ้างค้าขายทำงานที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบกับความลำบากมากมาย ชีวิตก็ได้ในหลวง ร.9 ที่ให้ชีวิต พระราชทานบ้านให้อยู่ในหมู่บ้านรวมไทย มีที่ดินทำกินได้ ทั้งยังมีอ่างเก็บน้ำให้เราได้ใช้กินตลอดปี ชีวิตเราก็มีความสุข แม้จะไม่ค่อยได้เข้าเฝ้าฯบ่อยนัก ต้องรอให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯไปประจวบคีรีขันธ์ จะได้เข้าเฝ้าฯบ่อยหน่อยก็ครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปโรงเรียนตระเวนชายแดนที่นั่น แต่ก็รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เสมอ เรียกว่ามีอยู่มีกินก็เพราะพระองค์ แล้วเช่นนี้เราจะไม่รักพระองค์ได้อย่างไร” นางจันทร์ กล่าว
นางวิมล พายมณี อายุ 64 ปี อีกหนึ่งสมาชิกในหมู่บ้านรวมไทย กล่าวพร้อมน้ำตาว่า เป็นอีกหนึ่งคนที่ชีวิตเจอความลำบากมามาก จนได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในหลวง ร.9 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ส่งชื่อไปขอพระราชทานบ้านให้กับเรา พร้อมที่ 6 งาน ได้เพาะปลูกช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์สวรรคตก็รู้สึกเสียใจมาก หากตายแทนได้ก็อยากจะตายแทน อยากให้พระองค์อยู่กับคนไทยไปนานๆ ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงพระองค์อยู่ ได้แต่อธิษฐานจิตให้พระองค์ทรงหมดห่วง เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อได้ขึ้นไปกราบสักการะและได้เห็นพระบรมโกศของพระองค์ ก็รู้สึกสะเทือนใจ คิดถึงภาพที่พระองค์ทรงงานหนักเพื่อคนไทย จนเดินลงมาไม่ไหว เจ้าหน้าที่ต้องพยุงลงมา แต่ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป ให้พ่อหลวงหมดห่วง
ด้าน นางวิไลวรรณ จันทร์มัด เจ้าหน้าที่สำนักงานชลประทาน จ.ตรัง เผยว่า วันนี้ได้พาคณะเกษตรกรในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้งโครงการอ่างเก็บน้ำคลองท่างิ้ว อ.ห้วยยอด และโครงการฝายคลองนางน้อย จำนวน 48 คน เดินทางมาสักการะพระบรมศพ โดยที่ผ่านมาชาวบ้านทุกคนตั้งใจทำตามปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ปลูกผัก ทำเศรษฐกิจพอเพียง ทำฝายบริหารน้ำ ประโยชน์ที่ได้รับในปัจุบันคือน้ำใช้ในการเกษตรเพียงพอทั้งปี แม้ว่าจะเป็นฤดูแล้ง หน้าฝนน้ำก็ไม่ท่วมขังแปลงนาไร่เหมือนอดีต ชาวบ้านมีรายได้จากกาาทำเกษตรตลอดทั้งปี เป็นพระมหากรุณาธิคุณของคนตรังที่ทรงสร้างศาสตร์อาชีพที่ดีให้ประชาชน และเป็นเรื่องที่เราต้องทำสืบต่อถึงลูกหลานในอนาคต
ขณะที่ นางวงเดือน หอมคลฑา วัย 71 ปี จาก จ.จันทบุรี กล่าวว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่เข้ามากราบสักการะพระบรมศพ โดยเดินทางมากับชาวบ้านที่ชักชวนกันมาได้ 50 กว่าคนมาเข้าแถวตั้งแต่ตี 5 ทุกครั้งที่เข้าไปกราบน้ำตาก็ไหลตลอด เพราะคิดถึงพระองค์ท่านมาก เมื่อก่อนเวลาท่านทรงงาน เราก็ติดตามดูว่าทรงไปพัฒนาบ้านเมืองที่ไหน เคยมีโอกาสรับเสด็จเวลาที่พระองค์มาในพื้นที่ ปลื้มใจที่ทรงไม่เคยทิ้งประชาชนเลย ตอนนี้อยากจะมาหลายๆ ครั้งถ้ามีโอกาส หรือมีลูกหลานชักชวนมาอีกก็พร้อมมาทันที
นายผวย โม่งแสวง เกษตรกร จ.ลพบุรี วัย 68 ปี เผยว่า เดินทางออกจากบ้านมาตั้งแต่ตี 1 พร้อมเพื่อนเกษตรกรและชาวบ้านในชุมชนกว่า 30 คน และได้เข้ากราบสักการะในเวลาประมาณ 9 โมงเช้า รู้สึกตื้นตันที่ได้ทำตามความตั้งใจตั้งแต่วันแรกที่ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย ก็คิดว่าจะต้องมากราบในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ได้ ตอนนี้ยังไม่หายเศร้าใจ แต่ก็อยู่กับคำสอน หลักปรัชญาของพระองค์ให้เต็มที่ เมื่อมีเวลาว่างจะสอนหลาน 2 คน อายุ 8 ขวบ กับ 4 ขวบ ให้รู้จักรัชกาลที่ 9 ได้เห็นสิ่งที่ทรงทำจากไร่สวนในบ้านเรา ที่น้อมนำเอาทฤษฎีการเกษตรผสมผสานมาใช้ และทำปุ๋ยหมักชีวภาพใช้เอง ทำให้ตนมีเงินเก็บ ดินก็ดีขึ้น ปลูกอะไรก็ออกผลดี ทรงคิดวิธีให้เราอยู่ได้อย่างพอดี ยั่งยืน อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวง ฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยพสกนิกรที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ผลไม้ ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน
สำหรับเมนูอาหารพระราชทานแจกจ่ายประชาชนประจำวันที่ 15 ธ.ค. ประกอบด้วย มื้อเช้า เวลา 07.00 น. ข้าวไข่ตุ๋นทรงเครื่อง 1,500 บาท กาแฟสด 2,500 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง มื้อกลางวัน เวลา 11.00 น. ข้าวมัสมั่นไก่โบราณ 1,000 จาน ข้าวผัดอเมริกันไส้กรอก 1,000 จาน เส้นใหญ่ผัดทรงเครื่องเห็ดหอม 1,000 ชาม ขนมเบื้อง 800 ชุด ขนมแป้งจี่ 800 ชุด ผลไม้ดอง 90 ก.ก. ข้าวหมกไก่ 2,000 จาน มื้อบ่าย เวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง ข้าวเหนียวหมู-ไก่ 1,000 ชุด เฉาก๊วย 1,000 ถุง มื้อเย็น ข้าวซอยไก่ 2,500 จาน ไก่ผัดพริกขิง, ไส้กรอกทอด 1,000 จาน ผัดไทย 2,000 จาน ขณะเดียวกัน มีน้ำสมุนไพร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน
ขณะที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณท้องสนาม ฝั่งทิศเหนือ บริเวณทางเข้าที่ประชาชนจะเดินเข้ามารอภายในเต็นท์ก่อนเข้ากราบสักการะพระบรมศพนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทาน มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน สำหรับวันนี้ มีหน่วยแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เภสัชกร และบุคลากร จากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ.สระแก้ว 5 คน โรงพยาบาลอรัญประเทศ จ.สระแก้ว 12 คน โรงพยาบาลธนบุรี 12 คน มาให้บริการดูแลประชาชนตลอดทั้งวัน
ที่มา https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_144378#