นับเป็นบทสรุปของคดีโดยคำพิพากษาของศาล
สำหรับคดีที่มือปืนรัวสังหาร เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม นักแม่นปืนทีมชาติ เสียชีวิตคาเก๋งปอร์เช่ ขณะกำลังเดินทางไปหาภรรยาที่บ้านพัก
และด้วยการทำงานที่รอบคอบรัดกุม ทำให้สามารถจับกุมทีมสังหารได้
ก่อนจะพบความจริงตามพยานหลักฐานที่น่าตระหนก ว่าที่แท้คนสั่งตายก็คือหมอนิ่ม ภรรยาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์นั่นเอง
แม้ว่าแม่ของหมอนิ่มจะออกรับแทนว่าเป็นผู้จ้างวาน
แต่จากพยานหลักฐานที่ปรากฏชัด ทำให้กลายเป็นคำพิพากษาประหารหมอนิ่ม
และยกฟ้องแม่ที่ออกรับแทน
สำหรับคดีที่มือปืนรัวสังหาร เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม นักแม่นปืนทีมชาติ เสียชีวิตคาเก๋งปอร์เช่ ขณะกำลังเดินทางไปหาภรรยาที่บ้านพัก
และด้วยการทำงานที่รอบคอบรัดกุม ทำให้สามารถจับกุมทีมสังหารได้
ก่อนจะพบความจริงตามพยานหลักฐานที่น่าตระหนก ว่าที่แท้คนสั่งตายก็คือหมอนิ่ม ภรรยาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์นั่นเอง
แม้ว่าแม่ของหมอนิ่มจะออกรับแทนว่าเป็นผู้จ้างวาน
แต่จากพยานหลักฐานที่ปรากฏชัด ทำให้กลายเป็นคำพิพากษาประหารหมอนิ่ม
และยกฟ้องแม่ที่ออกรับแทน
เปิดคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เช้าวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดมีนบุรี ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.383/2557 ที่พนักงานอัยการ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เป็นโจทก์ร่วม
ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือ จี กลิ่นคล้าย อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง มือปืน น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 74 ปี แม่ พญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม แม่ยายเอ็กซ์-จักรกฤษณ์ พญ. นิธิวดี นายสันติ หรือ อี๊ด ทองเสม ทนายความ และ นายธวัชชัย หรือ อ้น เพชรโชติ อายุ 35 ปี คนขี่จยย.ให้มือปืน
เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริมให้ฆ่า มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ
และขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4.4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้ง 5 ปฏิเสธ
โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าระหว่างเดือน ส.ค.-19 ต.ค. 2556 จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันจ้างวานใช้นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1 กับพวกฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ใช้ปืนออโตเมติก ยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตกาเรฟ ขนาด 7.62 ม.ม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัด กระสุนถูกที่หน้าอก หัวใจ ปอด จนถึงแก่ความตาย ก่อนหลบหนีไป เหตุเกิดที่แขวงและเขตมีนบุรี กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จ จริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ผู้ตาย อยู่กินฉันสามีภรรยากับหมอนิ่ม จำเลยที่ 3 มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาวันที่ 19 ต.ค. 2556 นายจักรกฤษณ์ถูกคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
เช้าวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดมีนบุรี ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.383/2557 ที่พนักงานอัยการ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เป็นโจทก์ร่วม
ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือ จี กลิ่นคล้าย อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง มือปืน น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 74 ปี แม่ พญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม แม่ยายเอ็กซ์-จักรกฤษณ์ พญ. นิธิวดี นายสันติ หรือ อี๊ด ทองเสม ทนายความ และ นายธวัชชัย หรือ อ้น เพชรโชติ อายุ 35 ปี คนขี่จยย.ให้มือปืน
เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริมให้ฆ่า มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ
และขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4.4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้ง 5 ปฏิเสธ
โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าระหว่างเดือน ส.ค.-19 ต.ค. 2556 จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันจ้างวานใช้นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1 กับพวกฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ใช้ปืนออโตเมติก ยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตกาเรฟ ขนาด 7.62 ม.ม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัด กระสุนถูกที่หน้าอก หัวใจ ปอด จนถึงแก่ความตาย ก่อนหลบหนีไป เหตุเกิดที่แขวงและเขตมีนบุรี กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จ จริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ผู้ตาย อยู่กินฉันสามีภรรยากับหมอนิ่ม จำเลยที่ 3 มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาวันที่ 19 ต.ค. 2556 นายจักรกฤษณ์ถูกคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
โดยน.ส.วรพรรณภูรี หรือแหม่ม มนตรีอารีกุล พยาน
เบิกความว่า
ต้นปี 2556 พยานทราบจากสื่อโทรทัศน์ว่า ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3
มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีและขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ
จึงพูดคุยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจำเลยที่ 3
ซึ่งปรึกษาขอให้หาคนมาช่วยปรามผู้ตายไม่ให้ทำร้ายจำเลย ที่ 3จนกระทั่งนายฐปนวัฒน์
จิ้วไม้แดง ญาติของพยาน พาทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 มาที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์
ขณะที่หมอนิ่มพักรักษาในห้องผู้ป่วยพิเศษ
เพื่อรักษาตัวจากการแท้งบุตรหลังถูกผู้ตายทำร้าย
โดยหมอนิ่มนั่งโซฟาคุยกับนายฐปนวัฒน์ และทนายอี๊ด โดยมีธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท วางอยู่ 6 มัด ประมาณ 6 แสนบาท อยู่บนโต๊ะ
จำเลยที่ 3 บอกนายฐปนวัฒน์ กับทนายอี๊ดให้ช่วยจัดการผู้ตายให้หน่อย ใช้เวลาคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นจำเลยที่ 4 ก็เก็บเงินใส่ซองสีน้ำตาล หมอนิ่มบอกอีกว่า ผู้ตายใช้รถปอร์เช่ สีดำ ทะเบียน ก 2223
และยังระบุอีกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจแจ้งว่า ตนถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และขอให้ช่วยเหลือจำเลยที่ 3 จึงให้การ ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่า
เปิดปมสั่งฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์
ศาลเห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความของน.ส.วรพรรณภูรี ถ้อยคำมีลักษณะซัดทอดผู้กระทำความผิดอื่นด้วยกัน และเปลี่ยนข้อเท็จจริงหลายครั้งตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา
การพิจารณารับฟังพยานโจทก์ปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และต้องพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
ขณะที่ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อได้สอบพยานผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมหลักฐานต่างๆ สรุปได้ว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารผู้ตายเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว
ซึ่งในประเด็นดังกล่าวโจทก์มีน.ส.โชติกา (ขอสงวนนามสกุล) เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ตายคบหามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ผู้ตายเคยพาพยานไปที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 จนเป็นที่ไม่พอใจของจำเลยที่ 3 ผู้ตายเคยพาพยานมาค้างที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3
ผู้ตายนัดหมายให้พยานมาพบในวันที่ 11 ก.ค 56 เนื่องจากผู้ตายมีนัดถ่ายทำรายการกีฬา แต่พยานไม่อยากมา ผู้ตายโทร.ตามจนพยานมาที่บ้านและถูกผู้ตายทำร้ายและทำลายทรัพย์สินแล้วพาไปสนามกีฬาเพื่อถ่ายทำรายการ
ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถอีกคันตามไป ระหว่างที่ผู้ตายถ่ายทำรายการให้พยานนั่งเฝ้ากระเป๋าเงินและทรัพย์สิน พยานรู้สึกหิวน้ำกำลังจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงิน จำเลยที่ 3 เห็นจึงเข้าไปด่าว่าพยานจนไม่กล้าหยิบเงิน เมื่อพักถ่ายรายการจำเลยที่ 3 เข้าไปฟ้องผู้ตายว่า พยานจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงินของผู้ตาย แต่กลับถูกผู้ตายไม่พอใจผลักศีรษะของจำเลยที่ 3 และยังท้าทายจำเลยที่ 3 อีกว่าหากไม่พอใจเลิกกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสีหน้าไม่พอใจ
ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้หญิงอื่นมาค้างที่บ้าน การไม่ให้เกียรติจำเลยที่ 3 ผลักศีรษะจำเลยที่ 3 และท้าทายให้เลิกกันต่อหน้าผู้หญิงอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย
ย่อมสร้างความขุ่นเคืองและนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายต่อความอดกลั้นและอดทนต่อพฤติกรรมของผู้ตายที่มีปัญหาติดยาเสพติด ความเจ้าชู้ และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและจิตใจจำเลยที่ 3
นอกจากนี้พบว่าจำเลยที่ 3 จดทะเบียนบริษัทใหม่ที่ลดสัดส่วนหุ้นผู้ตายลง เท่ากับต้องการกำจัดผู้ตายออกจากการเป็นเจ้าของคลินิก โดยจำเลยที่ 3 ทราบถึงอุปนิสัยใจคอของผู้ตายดีอยู่แล้วว่า หากผู้ตายทราบเรื่อง ย่อมต้องไม่พอใจ และอาจทำร้ายจำเลยที่ 3 ได้
จากลำดับเหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 3 ย่อม เป็นมูลเหตุจูงใจจำเลยที่ 3 ในการสังหารผู้ตายได้
ประหารหมอนิ่ม-ยกฟ้องแม่
เมื่อประกอบกับการสืบสวนของพ.ต.อ.นพศิลป์ ที่เบิกความจากการถอดข้อมูลโทรศัพท์ของน.ส.วรพรรณภูรี และจำเลยที่ 3 พบมีการติดต่อกันอย่างผิดปกติ โดยจำเลยที่ 3 แจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ตายให้พยาน เพื่อให้แจ้งให้จำเลยที่ 4 ทราบอีกที
โดยหมอนิ่มนั่งโซฟาคุยกับนายฐปนวัฒน์ และทนายอี๊ด โดยมีธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท วางอยู่ 6 มัด ประมาณ 6 แสนบาท อยู่บนโต๊ะ
จำเลยที่ 3 บอกนายฐปนวัฒน์ กับทนายอี๊ดให้ช่วยจัดการผู้ตายให้หน่อย ใช้เวลาคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นจำเลยที่ 4 ก็เก็บเงินใส่ซองสีน้ำตาล หมอนิ่มบอกอีกว่า ผู้ตายใช้รถปอร์เช่ สีดำ ทะเบียน ก 2223
และยังระบุอีกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจแจ้งว่า ตนถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และขอให้ช่วยเหลือจำเลยที่ 3 จึงให้การ ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่า
เปิดปมสั่งฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์
ศาลเห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความของน.ส.วรพรรณภูรี ถ้อยคำมีลักษณะซัดทอดผู้กระทำความผิดอื่นด้วยกัน และเปลี่ยนข้อเท็จจริงหลายครั้งตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา
การพิจารณารับฟังพยานโจทก์ปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และต้องพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
ขณะที่ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อได้สอบพยานผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมหลักฐานต่างๆ สรุปได้ว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารผู้ตายเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว
ซึ่งในประเด็นดังกล่าวโจทก์มีน.ส.โชติกา (ขอสงวนนามสกุล) เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ตายคบหามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ผู้ตายเคยพาพยานไปที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 จนเป็นที่ไม่พอใจของจำเลยที่ 3 ผู้ตายเคยพาพยานมาค้างที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3
ผู้ตายนัดหมายให้พยานมาพบในวันที่ 11 ก.ค 56 เนื่องจากผู้ตายมีนัดถ่ายทำรายการกีฬา แต่พยานไม่อยากมา ผู้ตายโทร.ตามจนพยานมาที่บ้านและถูกผู้ตายทำร้ายและทำลายทรัพย์สินแล้วพาไปสนามกีฬาเพื่อถ่ายทำรายการ
ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถอีกคันตามไป ระหว่างที่ผู้ตายถ่ายทำรายการให้พยานนั่งเฝ้ากระเป๋าเงินและทรัพย์สิน พยานรู้สึกหิวน้ำกำลังจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงิน จำเลยที่ 3 เห็นจึงเข้าไปด่าว่าพยานจนไม่กล้าหยิบเงิน เมื่อพักถ่ายรายการจำเลยที่ 3 เข้าไปฟ้องผู้ตายว่า พยานจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงินของผู้ตาย แต่กลับถูกผู้ตายไม่พอใจผลักศีรษะของจำเลยที่ 3 และยังท้าทายจำเลยที่ 3 อีกว่าหากไม่พอใจเลิกกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสีหน้าไม่พอใจ
ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้หญิงอื่นมาค้างที่บ้าน การไม่ให้เกียรติจำเลยที่ 3 ผลักศีรษะจำเลยที่ 3 และท้าทายให้เลิกกันต่อหน้าผู้หญิงอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย
ย่อมสร้างความขุ่นเคืองและนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายต่อความอดกลั้นและอดทนต่อพฤติกรรมของผู้ตายที่มีปัญหาติดยาเสพติด ความเจ้าชู้ และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและจิตใจจำเลยที่ 3
นอกจากนี้พบว่าจำเลยที่ 3 จดทะเบียนบริษัทใหม่ที่ลดสัดส่วนหุ้นผู้ตายลง เท่ากับต้องการกำจัดผู้ตายออกจากการเป็นเจ้าของคลินิก โดยจำเลยที่ 3 ทราบถึงอุปนิสัยใจคอของผู้ตายดีอยู่แล้วว่า หากผู้ตายทราบเรื่อง ย่อมต้องไม่พอใจ และอาจทำร้ายจำเลยที่ 3 ได้
จากลำดับเหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 3 ย่อม เป็นมูลเหตุจูงใจจำเลยที่ 3 ในการสังหารผู้ตายได้
ประหารหมอนิ่ม-ยกฟ้องแม่
เมื่อประกอบกับการสืบสวนของพ.ต.อ.นพศิลป์ ที่เบิกความจากการถอดข้อมูลโทรศัพท์ของน.ส.วรพรรณภูรี และจำเลยที่ 3 พบมีการติดต่อกันอย่างผิดปกติ โดยจำเลยที่ 3 แจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ตายให้พยาน เพื่อให้แจ้งให้จำเลยที่ 4 ทราบอีกที
จากการให้ถ้อยคำของจำเลยที่
1 ต่อพนักงานสอบสวน ได้ความว่า ประมาณเดือนก.ย.2556 จำเลยที่ 4
ว่าจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 5 ให้ไปยิงผู้ตายโดยให้ค่าจ้างคนละ 100,000 บาท
จำเลยที่ 5 ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ มีจำเลยที่ 1
เป็นมือปืนลงมือยิง แล้วพากันหลบหนีไป
สำหรับจำเลยที่ 2 ขณะ น.ส.วรพรรณ ภูรี เข้าให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวน ครั้งแรกก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด
แต่เพิ่งปรากฏตามคำให้การเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่าเป็นคนบอกให้ น.ส.วรพรรณภูรี หาคนมาเก็บผู้ตาย และในชั้นสอบสวนของน.ส.วรพรรณภูรี กลับมีทนายจำเลยที่ 2 มาทำหน้าที่ทนายความให้ทั้งที่ให้การปรักปรำจำเลยที่ 2
และน.ส.วรพรรณภูรี กลับคำให้การจากคำให้การเดิมซึ่งยืนยันตลอดมาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้าง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งขอให้การปฏิเสธ แต่กลับให้การปรักปรำตนเองอันมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นการช่วยเหลือ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร จึงยังมีความสงสัยอยู่ตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2
จึงพิพากษาว่า ให้ประหารชีวิต นายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต และให้ประหารชีวิต พญ.นิธิวดี และนายสันติ จำเลยที่ 3-4 ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ซึ่งทางนำสืบและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษคนละ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกตลอดชีวิตนายจิรศักดิ์ และ นายธวัชชัย
และร่วมกันชดใช้เงิน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่โจทก์ร่วม
ปิดคดีสั่งตายที่น่าเศร้า
สำหรับจำเลยที่ 2 ขณะ น.ส.วรพรรณ ภูรี เข้าให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวน ครั้งแรกก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด
แต่เพิ่งปรากฏตามคำให้การเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่าเป็นคนบอกให้ น.ส.วรพรรณภูรี หาคนมาเก็บผู้ตาย และในชั้นสอบสวนของน.ส.วรพรรณภูรี กลับมีทนายจำเลยที่ 2 มาทำหน้าที่ทนายความให้ทั้งที่ให้การปรักปรำจำเลยที่ 2
และน.ส.วรพรรณภูรี กลับคำให้การจากคำให้การเดิมซึ่งยืนยันตลอดมาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้าง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งขอให้การปฏิเสธ แต่กลับให้การปรักปรำตนเองอันมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นการช่วยเหลือ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร จึงยังมีความสงสัยอยู่ตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2
จึงพิพากษาว่า ให้ประหารชีวิต นายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต และให้ประหารชีวิต พญ.นิธิวดี และนายสันติ จำเลยที่ 3-4 ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ซึ่งทางนำสืบและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษคนละ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกตลอดชีวิตนายจิรศักดิ์ และ นายธวัชชัย
และร่วมกันชดใช้เงิน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่โจทก์ร่วม
ปิดคดีสั่งตายที่น่าเศร้า