ลองเช็คดู..8 สัญญาณเตือนว่าลำไส้ของคุณมีปัญหา ใครมีอาการเหล่านี้รีบหาหมอเลย!!
ในฐานะแพทย์ทางเลือก ฉันขอเน้นย้ำว่าความสำคัญของสุขภาพลำไส้มีผลต่อสุขภาพโดยรวม แต่คนส่วนใหญ่มักจะสันนิษฐานว่าอาหารไม่ย่อยคือสัญญาณเดียวที่บ่งบอกว่าลำไส้ของพวกเขามีปัญหา อันที่จริงเป็นเพราะลำไส้มีส่วนเชื่อมโยงกับอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งรวมถึงสมองและระบบภูมิคุ้มกันด้วย ฉะนั้นจึงมีสัญญาณเตือนมากมายที่บ่งบอกได้ว่าลำไส้ของคุณควรได้รับการฟื้นฟูใหม่ และนี่คืออาการเหล่านั้น
1. ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
ข้อนี้ชัดเจนเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับการย่อยจะบ่งบอกว่าลำไส้ของคุณไม่สามารถย่อยอาหารให้กลายเป็นพลังงานได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามแพทย์อาจบอกว่าคุณเป็นโรคลำไส้แปรปรวน โรคลำไส้รั่ว ภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินไป หรือโรคกรดไหลย้อนและจำเป็นต้องรับประทานยาทุกวัน ทว่านี่ไม่ใช่การรักษาต้นตอของอาการ เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้ลำไส้เสียหายรุนแรงได้ ดังนั้นคุณควรรักษาให้ถึงสาเหตุที่แท้จริง
2. ลดน้ำหนักไม่ลงโดยเฉพาะรอบเอว
คำอธิบายง่ายๆสำหรับข้อนี้คือลำไส้ของคุณส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญเนื่องจากไม่มีเชื้อจุลชีพในการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาคือของเสียจะถูกกักเก็บไว้เป็นเนื้อเยื่อไขมันซึ่งปกติจะสะสมอยู่ตามรอบเอวของคุณ
3. ไม่สบายบ่อย
ระบบภูมิคุ้มกันอย่างน้อยร้อยละ 70 อยู่ในลำไส้ของคุณซึ่งหมายความว่าหากลำไส้ขาดความสมดุลคุณก็มีโอกาสรับเชื้อไวรัสมากขึ้นและป่วยบ่อยเนื่องจากร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงแนะนำว่าควรรักษาลำไส้ของคุณก่อนที่จะต้องรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ
4. ผิวพรรณเริ่มย่ำแย่
ผิวหนังของคนเราเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายและสามารถบ่งบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่คุณรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ผิวพรรณของคุณก็จะเปล่งปลั่ง แต่เมื่อใดที่คุณป่วยหรือรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดใบหน้าของคุณก็จะหม่นหมองนั่นเป็นเพราะผู้ที่มีผิวพรรณดีมีแนวโน้มว่าจะมีแบคทีเรียลำไส้ดี ในทางกลับกันหากขาดความสมดุลก็จะหมายถึงการอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง และฮอร์โมนแปรปรวนทำให้คุณมีโอกาสเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคภูมิแพ้ ผิวแห้งหรือผิวมันมาก และโรคผิวหนังอักเสบ
5. เหนื่อยง่ายและรู้สึกเพลียตลอดเวลา
หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อ (CDC) ประเมินว่ามีชาวอเมริกันอย่างน้อยหนึ่งล้านคนที่ป่วยเป็นโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง CFS) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากโรคลำไส้รั่ว ดังนั้นต้องรักษาสุขภาพของระบบย่อยอาหารก่อน
6. เครียด อารมณ์แปรปรวน หรือซึมเศร้า
รู้หรือไม่ว่าสารเซโรโทนินหรือสารสื่อประสาทที่ช่วยกำหนดอารมณ์ที่สำคัญของคุณร้อยละ 95 นั้นอันที่จริงอยู่ในลำไส้..ไม่ใช่อยู่ในสมอง ความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันระหว่างสุขภาพลำไส้กับสุขภาพประสาทจึงค่อนข้างชัดเจน
7. ความจำสับสน ความคิดไม่แจ่มใส
เช่นเดียวกับเครื่องตัดหญ้าที่ต้องเร่งความเร็วคุณอาจรู้สึกว่าสมองของตัวเองไม่แล่นเอาเสียเลย ลืมกระทั่งคำศัพท์ง่ายๆ ลืมว่าวางโทรศัพท์ไว้ที่ไหน และแม้กระทั่งการคิดเลขในใจ สาเหตุคือเมื่อลำไส้ของคุณอักเสบสมองก็อาจอักเสบด้วยเช่นกันและทำให้กระบวนการรับรู้ล้มเหลว
8. มีปัญหาภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
ลำไส้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เมื่อลำไส้รั่วแอนติบอดี้จะโจมตีอนุภาคที่หลุดออกไปซึ่งอาจกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันมากเกินไปจนนำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น ไทรอยด์หรือต่อมหมวกไตอ่อนล้า
ที่มา... issue247.com
ในฐานะแพทย์ทางเลือก ฉันขอเน้นย้ำว่าความสำคัญของสุขภาพลำไส้มีผลต่อสุขภาพโดยรวม แต่คนส่วนใหญ่มักจะสันนิษฐานว่าอาหารไม่ย่อยคือสัญญาณเดียวที่บ่งบอกว่าลำไส้ของพวกเขามีปัญหา อันที่จริงเป็นเพราะลำไส้มีส่วนเชื่อมโยงกับอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งรวมถึงสมองและระบบภูมิคุ้มกันด้วย ฉะนั้นจึงมีสัญญาณเตือนมากมายที่บ่งบอกได้ว่าลำไส้ของคุณควรได้รับการฟื้นฟูใหม่ และนี่คืออาการเหล่านั้น
1. ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
ข้อนี้ชัดเจนเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับการย่อยจะบ่งบอกว่าลำไส้ของคุณไม่สามารถย่อยอาหารให้กลายเป็นพลังงานได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามแพทย์อาจบอกว่าคุณเป็นโรคลำไส้แปรปรวน โรคลำไส้รั่ว ภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินไป หรือโรคกรดไหลย้อนและจำเป็นต้องรับประทานยาทุกวัน ทว่านี่ไม่ใช่การรักษาต้นตอของอาการ เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้ลำไส้เสียหายรุนแรงได้ ดังนั้นคุณควรรักษาให้ถึงสาเหตุที่แท้จริง
2. ลดน้ำหนักไม่ลงโดยเฉพาะรอบเอว
คำอธิบายง่ายๆสำหรับข้อนี้คือลำไส้ของคุณส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญเนื่องจากไม่มีเชื้อจุลชีพในการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาคือของเสียจะถูกกักเก็บไว้เป็นเนื้อเยื่อไขมันซึ่งปกติจะสะสมอยู่ตามรอบเอวของคุณ
3. ไม่สบายบ่อย
ระบบภูมิคุ้มกันอย่างน้อยร้อยละ 70 อยู่ในลำไส้ของคุณซึ่งหมายความว่าหากลำไส้ขาดความสมดุลคุณก็มีโอกาสรับเชื้อไวรัสมากขึ้นและป่วยบ่อยเนื่องจากร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงแนะนำว่าควรรักษาลำไส้ของคุณก่อนที่จะต้องรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ
4. ผิวพรรณเริ่มย่ำแย่
ผิวหนังของคนเราเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายและสามารถบ่งบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่คุณรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ผิวพรรณของคุณก็จะเปล่งปลั่ง แต่เมื่อใดที่คุณป่วยหรือรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดใบหน้าของคุณก็จะหม่นหมองนั่นเป็นเพราะผู้ที่มีผิวพรรณดีมีแนวโน้มว่าจะมีแบคทีเรียลำไส้ดี ในทางกลับกันหากขาดความสมดุลก็จะหมายถึงการอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง และฮอร์โมนแปรปรวนทำให้คุณมีโอกาสเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคภูมิแพ้ ผิวแห้งหรือผิวมันมาก และโรคผิวหนังอักเสบ
5. เหนื่อยง่ายและรู้สึกเพลียตลอดเวลา
หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อ (CDC) ประเมินว่ามีชาวอเมริกันอย่างน้อยหนึ่งล้านคนที่ป่วยเป็นโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง CFS) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากโรคลำไส้รั่ว ดังนั้นต้องรักษาสุขภาพของระบบย่อยอาหารก่อน
6. เครียด อารมณ์แปรปรวน หรือซึมเศร้า
รู้หรือไม่ว่าสารเซโรโทนินหรือสารสื่อประสาทที่ช่วยกำหนดอารมณ์ที่สำคัญของคุณร้อยละ 95 นั้นอันที่จริงอยู่ในลำไส้..ไม่ใช่อยู่ในสมอง ความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันระหว่างสุขภาพลำไส้กับสุขภาพประสาทจึงค่อนข้างชัดเจน
7. ความจำสับสน ความคิดไม่แจ่มใส
เช่นเดียวกับเครื่องตัดหญ้าที่ต้องเร่งความเร็วคุณอาจรู้สึกว่าสมองของตัวเองไม่แล่นเอาเสียเลย ลืมกระทั่งคำศัพท์ง่ายๆ ลืมว่าวางโทรศัพท์ไว้ที่ไหน และแม้กระทั่งการคิดเลขในใจ สาเหตุคือเมื่อลำไส้ของคุณอักเสบสมองก็อาจอักเสบด้วยเช่นกันและทำให้กระบวนการรับรู้ล้มเหลว
8. มีปัญหาภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
ลำไส้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เมื่อลำไส้รั่วแอนติบอดี้จะโจมตีอนุภาคที่หลุดออกไปซึ่งอาจกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันมากเกินไปจนนำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น ไทรอยด์หรือต่อมหมวกไตอ่อนล้า
ที่มา... issue247.com