น้ำผึ้ง : ยาสมานแผลชั้นเลิศ
น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลเข้มข้น (แบบน้ำเชื่อม) โดยที่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จะให้พลังงาน 64 แคลอรี ขณะที่น้ำตาลทรายให้เพียง 46 แคลอรี ดังนั้นหมอจะห้ามคนไข้เบาหวานกินน้ำผึ้ง เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้มากกว่าการกินน้ำตาล และคนทั่วไปควรกินแต่พอเหมาะ ถ้ากินมากไป อาจทำให้น้ำหนักขึ้นแบบเดียวกับน้ำตาลได้
สรรพคุณทางยา ที่ใช้แก้ไอและรักษาแผล
1. ใช้จิบแก้ไอ
โดยการผสมน้ำผึ้ง 3-4 ส่วน กับน้ำมะนาว 1 ส่วน ควรเคี่ยวน้ำผึ้งบนเตาไฟให้เดือด ก่อน เมื่อปล่อยให้เย็นแล้ว ค่อยเติม น้ำมะนาวลงไป สามารถเก็บใส่ขวด แบ่งจิบแก้ไอได้บ่อยๆ เหมาะสำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก และผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย นอกจากใช้แก้ไอแล้ว ยังให้พลังงานแก่ร่างกายแทนข้าวได้อีกด้วย
2. ใช้รักษาแผล
ทั้งแผลสดและแผลเปื่อย (เรื้อรัง) โดยการทำแผลให้สะอาด เช่น ถ้าเป็นแผลสด หากมีดินทรายเปรอะเปื้อน แรกสุดให้ฟอกล้างด้วยน้ำกับสบู่ให้เศษดินทรายออกเสียก่อน ใช้สำลีหรือผ้ากอซ เช็ดแผลให้แห้ง แล้วใช้น้ำผึ้งทาลงบนเนื้อแผล ปิดด้วยผ้ากอซ วันต่อไปเปิดทำแผลรอบใหม่ ให้ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสุกชะเนื้อแผล (ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ โพวิโดนไอโอดีน ชะถูกเนื้อแผล แต่อนุโลมให้ชะบนผิวหนังรอบๆ แผลได้ ทั้งนี้ เพราะน้ำยาเหล่านี้จะทำลายเซลล์หรือเนื้อเยื่อในแผล อาจทำให้แผลหายช้าได้) แล้วใช้น้ำผึ้งทาบนเนื้อแผลแล้วปิดด้วยผ้ากอซ ทำแผลวันละ 1-2 ครั้ง จะสังเกตว่าเนื้อแผลจะแดง ไม่มีหนองหรือการติดเชื้อ และเซลล์ผิวหนังจะงอกจากขอบแผลเข้า มาปกคลุมเนื้อแผลในเวลาไม่กี่วัน
สำหรับแผลเปื่อย หรือมีคราบหนอง (เช่น แผลเบาหวาน แผลจากแรงกดทับ แผลเรื้อรังอื่นๆ) การทำ แผลควรหาทางเอาคราบหนองออกเสียก่อน (เช่น ใช้ไม้พันสำลี หรือผ้ากอซ ชุบน้ำเกลือหรือน้ำสุก ขูดหรือเขี่ยเอาคราบหนองออก) แล้วทาแผลด้วยน้ำผึ้งให้ชุ่ม แล้วใช้ผ้ากอซปิด ในระยะแรกควรทำแผลวันละ 2 ครั้ง เมื่อเนื้อแผลเริ่มแดงและแห้งดีจึงค่อยลดเหลือ 1 ครั้ง เมื่อแผลสะอาด (ไม่มีคราบหนอง เนื้อแผลแดง หรือมีเลือดซิบ) ก็จะมีเซลล์ผิวหนังงอก จากขอบแผล ค่อยๆ เข้ามาปกคลุมเนื้อแผล
เหตุผลที่น้ำผึ้งมีสรรพคุณสมานแผลได้ดี ก็เนื่องมาจากความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สิ่งที่มีความเข้มข้นกว่า (เช่น น้ำผึ้ง) จะดูดสารน้ำจากสิ่งที่เข้มข้นน้อยกว่า (เช่น เชื้อโรค)
หากไม่สามารถหาน้ำผึ้งหรือต้องการประหยัด ก็สามารถใช้น้ำเชื่อมเข้มข้นแทนได้ ซึ่งก็เคยมีงานวิจัยยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน โดยใช้น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวบนเตาไฟ จนเป็นน้ำเชื่อมเข้มข้น ใส่ขวด เก็บในตู้เย็น เมื่อต้องการก็นำออกมาใช้เป็นครั้งคราว ก็นับว่าสะดวกและราคาถูกดี
ข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน
น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลเข้มข้น (แบบน้ำเชื่อม) โดยที่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จะให้พลังงาน 64 แคลอรี ขณะที่น้ำตาลทรายให้เพียง 46 แคลอรี ดังนั้นหมอจะห้ามคนไข้เบาหวานกินน้ำผึ้ง เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้มากกว่าการกินน้ำตาล และคนทั่วไปควรกินแต่พอเหมาะ ถ้ากินมากไป อาจทำให้น้ำหนักขึ้นแบบเดียวกับน้ำตาลได้
สรรพคุณทางยา ที่ใช้แก้ไอและรักษาแผล
1. ใช้จิบแก้ไอ
โดยการผสมน้ำผึ้ง 3-4 ส่วน กับน้ำมะนาว 1 ส่วน ควรเคี่ยวน้ำผึ้งบนเตาไฟให้เดือด ก่อน เมื่อปล่อยให้เย็นแล้ว ค่อยเติม น้ำมะนาวลงไป สามารถเก็บใส่ขวด แบ่งจิบแก้ไอได้บ่อยๆ เหมาะสำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก และผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย นอกจากใช้แก้ไอแล้ว ยังให้พลังงานแก่ร่างกายแทนข้าวได้อีกด้วย
2. ใช้รักษาแผล
ทั้งแผลสดและแผลเปื่อย (เรื้อรัง) โดยการทำแผลให้สะอาด เช่น ถ้าเป็นแผลสด หากมีดินทรายเปรอะเปื้อน แรกสุดให้ฟอกล้างด้วยน้ำกับสบู่ให้เศษดินทรายออกเสียก่อน ใช้สำลีหรือผ้ากอซ เช็ดแผลให้แห้ง แล้วใช้น้ำผึ้งทาลงบนเนื้อแผล ปิดด้วยผ้ากอซ วันต่อไปเปิดทำแผลรอบใหม่ ให้ใช้น้ำเกลือหรือน้ำสุกชะเนื้อแผล (ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ โพวิโดนไอโอดีน ชะถูกเนื้อแผล แต่อนุโลมให้ชะบนผิวหนังรอบๆ แผลได้ ทั้งนี้ เพราะน้ำยาเหล่านี้จะทำลายเซลล์หรือเนื้อเยื่อในแผล อาจทำให้แผลหายช้าได้) แล้วใช้น้ำผึ้งทาบนเนื้อแผลแล้วปิดด้วยผ้ากอซ ทำแผลวันละ 1-2 ครั้ง จะสังเกตว่าเนื้อแผลจะแดง ไม่มีหนองหรือการติดเชื้อ และเซลล์ผิวหนังจะงอกจากขอบแผลเข้า มาปกคลุมเนื้อแผลในเวลาไม่กี่วัน
สำหรับแผลเปื่อย หรือมีคราบหนอง (เช่น แผลเบาหวาน แผลจากแรงกดทับ แผลเรื้อรังอื่นๆ) การทำ แผลควรหาทางเอาคราบหนองออกเสียก่อน (เช่น ใช้ไม้พันสำลี หรือผ้ากอซ ชุบน้ำเกลือหรือน้ำสุก ขูดหรือเขี่ยเอาคราบหนองออก) แล้วทาแผลด้วยน้ำผึ้งให้ชุ่ม แล้วใช้ผ้ากอซปิด ในระยะแรกควรทำแผลวันละ 2 ครั้ง เมื่อเนื้อแผลเริ่มแดงและแห้งดีจึงค่อยลดเหลือ 1 ครั้ง เมื่อแผลสะอาด (ไม่มีคราบหนอง เนื้อแผลแดง หรือมีเลือดซิบ) ก็จะมีเซลล์ผิวหนังงอก จากขอบแผล ค่อยๆ เข้ามาปกคลุมเนื้อแผล
เหตุผลที่น้ำผึ้งมีสรรพคุณสมานแผลได้ดี ก็เนื่องมาจากความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะทำให้เชื้อโรคฝ่อตาย ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สิ่งที่มีความเข้มข้นกว่า (เช่น น้ำผึ้ง) จะดูดสารน้ำจากสิ่งที่เข้มข้นน้อยกว่า (เช่น เชื้อโรค)
หากไม่สามารถหาน้ำผึ้งหรือต้องการประหยัด ก็สามารถใช้น้ำเชื่อมเข้มข้นแทนได้ ซึ่งก็เคยมีงานวิจัยยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน โดยใช้น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวบนเตาไฟ จนเป็นน้ำเชื่อมเข้มข้น ใส่ขวด เก็บในตู้เย็น เมื่อต้องการก็นำออกมาใช้เป็นครั้งคราว ก็นับว่าสะดวกและราคาถูกดี
ข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน