Home »
Uncategories »
สร้างวัด “แค่พระพออยู่” แล้วหันมาสร้างโรงพยาบาลไม่ดีกว่าหรือ?
สร้างวัด “แค่พระพออยู่” แล้วหันมาสร้างโรงพยาบาลไม่ดีกว่าหรือ?
วันนี้เรามีแง่คิดดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน รับรองเลยว่าอ่านจบแล้วต้องกลับมาเหลียวมองการทำบุญของเราในทุกวันนี้
เนื้อความมีอยู่ว่า
#ท่านเคยคิดหรือมองมุมมุมนี้ไหมครับ#
วัดมีเงินเหลือร้อยล้านพันล้าน แต่โรงพยาบาลมี ”หนี้ร้อยล้าน”
เข้าโรงพยาบาลขอรับบริการฟรีๆดีๆ
เข้าวัด พระตีกระบาลแทบแตก บอกชอบ ต้องบริจาคเงิน ”ให้เยอะๆ”
หมอรักษาจนหาย “ดีใจรอดตาย”รีบกลับไปแก้บน สร้างวัด,สร้างวิหาร,ไหว้พระขอบคุณพระ
หมอรักษาไม่ไหว ไปไม่รอดตามวัฎสงสาร กลับด่าหมอ ด่าพยาบาล
ไม่ไปด่าเทวดาที่บนไว้
#มาคิดใหม่ ทำใหม่#
สร้างวัด สร้างวิหารแค่พระพออยู่
แล้วมาสร้างโรงพยาบาลที่ดี มีเครื่องมือแพทย์ทันสมัย
รักษาคนป่วยให้หายไวๆ
#ดีกว่าไหมครับ?
ทั้งนี้เรามาสรุปปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างการสร้างวัด
สร้างโรงบาลปัญหาเรื่องที่ว่า การทำบุญให้โรงพยาบาล กับการทำบุญให้กับวัด
อะไรดีกว่ากัน ?
เรามาถึงยุคที่คนไทยไม่เข้าใจกันเสียแล้ว ว่าการทำบุญบริจาคให้กับวัด
ทำเพื่อประโยชน์อะไร ? ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีวัดหลายแห่งนำศรัทธามาขาย
แต่ไม่ผูกโยงไว้ด้วยปัญญา เช่น สอนกันว่าเงินซื้อนิพพานได้
หรือไม่ก็เน้นกันที่เครื่องรางของขลัง พิธีกรรม สิ่งศักสิทธิ์
มีศรัทธาเป็นเหยื่อ แต่ไม่ใช้ปัญญา ทำให้คนไทยเริ่มห่างวัดมากขึ้น
จนท้ายที่สุด คนไทยหลายคนอาจกลายเป็น “คนเกลียดวัด” ไปโดยปริยาย
ผนวกกับแนวคิดแบบสุดโต่งทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า
โรงพยาบาลเป็นสถานที่อันประเสริฐในการช่วยรักษามนุษย์ให้หายขาดจากความ
“เจ็บป่วย” จึงให้คุณค่าของโรงพยาบาลดูสูงส่งมากกว่าวัด
ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันว่า ทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวัด กับทำบุญสร้างโรงพยาบาล
อะไรดีกว่ากัน ?
ง่ายนิดเดียวสำหรับคำถามนี้ เราแค่ต้องขบคิดให้แตกฉานเสียก่อนว่า
โรงพยาบาลมีความสามารถอะไรที่วัดไม่สามารถกระทำได้ และ
วัดมีความสามารถอะไรที่โรงพยาบาลไม่สามารถกระทำได้บ้าง ?
โรงพยาบาล อาจรักษาคนที่ป่วยไข้ทางกายได้
แต่โรงพยาบาลไม่สามารถสมานแผลทางจิตใจได้
โรงพยาบาลไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รู้จักละความโลภ โกรธ หลง
เช่นเดียวกับที่วัดไม่สามารถรักษาโรคทางกาย
ในเชิงวิทยาศาสตร์แบบที่โรงพยาบาลสามารถทำได้
โรงพยาบาลอาจยื้อชีวิตมนุษย์ให้ยืดยาวออกไป
แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้บอกความจริงกับมนุษย์ว่า ร่างกายนี้เป็นของชั่วคราว
ถ้าเราไปยึดมันมาเป็นของเราอย่างถาวร
เราจะเป็นทุกข์…โรงพยาบาลไม่ได้บอกเราแบบนี้หน้าที่ของโรงพยาบาล คือ
ทำยังไงให้ร่างกายนี้ยังคงทำงานต่อไปให้ได้นานและมีประสิทธิภาพที่สุด
วัด รักษา “โรค” ทางกายแบบโรงพยาบาลไม่ได้ แต่วัดช่วยเยียวยา
“ความทุกข์” ในใจคนได้ ซึ่งวัด (ที่ดี) จะสอนให้คนไม่ยึดเอาอดีตที่เจ็บปวด
มาเป็นธนูดอกที่สอง ซึ่งคอยทิ่มแทงเราก่อนนอนทุกคืน
วัดไม่สามารถช่วยให้เราปราศจาก “โรค” แบบโรงพยาบาลได้ แต่วัดช่วยให้เราหมด
“ภัย” ด้วยการรู้จักให้ “อภัย” ได้
ซึ่งแตกต่างจากโรงพยาบาลที่ช่วยให้เราหมด “โรค” แต่อาจไม่หมด “ภัย”
อีกทั้งวัดยังช่วยให้เราเบิกบานจากการมีสติ
ไม่เอาเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตมาเป็นบ่วงรัดคอตน
ทีนี้ ทำบุญบริจาคกับวัด หรือ ทำบุญบริจาคกับโรงพยาบาล ควรเลือกอย่างไหน ?
ตอบ : ควรเลือกทั้ง 2 อย่าง ถ้าเราลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็จะพบว่า
สังคมเราต้องการทั้งโรงพยาบาลและวัด เราต้องการทั้งสถานที่ ๆ เยียวยาทั้ง
“ร่างกายและจิตใจ”
พุทธองค์แสดงให้เราเห็นเป็นตัวอย่างโดยการถนอมร่างกายเอาไว้เพื่อทำคุณประโยชน์แก่โลก
(พุทธเจ้าจึงไม่ดื่มเหล้า เสพของเมา และละทิ้งการทรมานตน)
เราก็ควรจะเอาเยี่ยงอย่าง หากเราเจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาล
มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เราก็รักษาร่างกายไปเพื่อหวังว่า
จะมีพรุ่งนี้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ต่อโลก ต่อผู้อื่น ได้ทำหน้าที่
ที่ยังค้างคาอยู่ ทั้งหน้าที่ของพ่อ แม่ สามี ภรรยา หน้าที่ของลูก
และหน้าที่การงาน โดยไม่ต้องหวังที่จะหอบสังขารหนีจากความตาย
เพราะมันเป็นไปไม่ได้
ในส่วนของ จิตใจ ที่พึ่งพิงอาศัยอยู่ในกาย
ทั้งยังมีอำนาจอยู่เหนือกายด้วย “จิต/ใจ เป็นนาย กายเป็นบ่าว”
ถ้ามนุษย์ไม่พึงพัฒนาให้มี จิต/ใจ ที่ดีงาม ปราณีต
ชีวิตก็จะมีแต่กายที่เที่ยวทำตามแต่ตัณหา อันมีกิเลสเป็นเหยื่อล่อ
โลกก็จะลุกเป็นไฟจากการเบียดเบียนกัน
โดยหวังเพียงเพื่อแสวงหาความสุขนอกกายเป็นสำคัญ
ทีนี้บางคนอาจเถียงว่า “ชีวิตฉันไม่ต้องมีวัด
จิตใจฉันก็ประเสริฐอยู่แล้ว” ก็ต้องบอกว่า
ขออนุโมทนากับท่านที่เกิดพุทธิปัญญาแบบนี้ได้โดยไม่ต้องเข้าวัดหรือไม่ต้องศึกษาพระธรรม
แต่อยากจะร้องขอให้ท่านมีความเมตตาต่อสัตว์โลก
ที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์ไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้
แต่ละคนมีสติและปัญญาไม่เท่ากัน
ได้โปรดเห็นใจและช่วยเหลือสัตว์โลกที่มีปัญญาไม่เท่าพวกท่านด้วย
“ท่านอาจไม่ต้องการวัด แต่คนอื่น ๆ อาจต้องการวัด”
ท้ายที่สุดคงต้องมองดูการบริจาคด้วย ‘สติ’ และ ‘ปัญญา’ โดยคำว่า
“บริจาค” มาจากคำว่า ‘ปริจจาคะ’ หมายถึงการเสียสละ
แต่ถ้าจะพูดให้แลดูไม่ถูกเอาเปรียบนัก อาจต้องใช้คำว่า “เผื่อแผ่”
และก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าเราจะเผื่อแผ่อะไรบางอย่างในชีวิตของเรา
เพื่อต่ออายุทางกายให้กับผู้อื่น
และช่วยเยียวยาความทุกข์ในใจของผู้อื่นได้ด้วย ….คุณว่าจริงไหม ?
#ปลง
ขอขอบคุณ: newsface7.com / kasettoday.com