บทเรียนชีวิต 4 เศรษฐี ชีวิตพลิกผัน ‘ล้มละลาย’ เคยรวยแสนล้าน กลับ หมดตัว

บอกเลยว่าชีวิตของคนเรานั้นมักจะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแน่นอนว่าบางครั้งใครที่ได้รวยแล้วก็มักจะชอบซื้อความสะดวกสบายให้กับตัวเองอยู่เสมอแต่ในบางครั้งชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดอย่างเสมอไปเพราะระหว่างทางที่จะไปถึงความตายแล้วก็ต้องพบเจออะไรอีกมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความไม่แน่นอนโดยในวันนี้เราจะนำ 1 ตัวอย่างของความไม่แน่นอนมาให้ทุกคนได้ลองอ่านกันดู

โดย 1 ความไม่แน่นอนที่เราว่ามานี้ก็คือแม้ถึงว่าเราจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีร้อยล้านหมื่นล้านมากแค่ไหนทำธุรกิจใหญ่โตใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองแต่บอกเลยว่าในบั้นปลายชีวิตคุณอาจจะได้ใช้ชีวิตแบบยากลำบากอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็ว่าได้ซึ่งแน่นอนว่านี่ก็เหมือนกับถอดเรื่องนิยายทั่วไปที่เขียนบทดราม่าแต่บอกเลยว่าเรื่องทุกอย่างนั้นก็มาจะมาจากเรื่องจริงกันทุกเรื่องใช่ไหมล่ะคะซึ่งเรื่องเหล่านี้เราก็จะทำให้รู้ว่าคนเราควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังไว้เสียดีกว่า

อย่างผู้ชายคนนี้ซึ่งในแต่ก่อนนั้นเคยเป็นเจ้าของกิจการขายส่งรับเหมาก่อสร้างที่จังหวัดชัยภูมิ เคยร่ำรวยล้นฟ้าแต่บอกเลยว่าในท้ายที่สุดแล้วชีวิตของเขาต้องมาประสบปัญหาจนกลายเป็นชายเร่ร่อน มีทั้งโรครุมเร้าต่างๆ มากมายเป็นทั้งเบาหวานความดันและอัมพฤกษ์ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินอยู่เสมอและอาศัยนอนตามศาลาวัดและโรงพยาบาล โดยเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจของสภ. แก่งคร้อตำบล หนองไผ่ อำเภอแก่งคร้อ จังหวัดชัยภูมิได้มีการรับแจ้งในเรื่องของประชาชนในตลาดของอำเภอ ว่าเรื่องด้วยของชายสูงอายุที่ถือไม้เท้าเดินคอยขอข้าวกินโดยชื่อคือนาย สุทธิลักษณ์ เลิศวานิชย์กุล หรือเฮียเล็ก อายุ 57 ปี

โดยชาวบ้านนั้นได้ให้ข้อมูลมาว่าชายคนนี้แต่ก่อนเคยเป็นคนมีหน้ามีตามีทรัพย์สินเป็นหลักร้อยล้าน เพราะว่าตระกูลเลิศวานิชย์กุลถือเป็นตระกูลเก่าแก่และเป็นเศรษฐีของอำเภอแก่งคร้อ และกลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว มีทั้งธุรกิจขายส่ง – รับเหมาก่อสร้าง แต่ทว่าเมื่อกระทั่งประมาณ 5-6 ปีก่อนเฮียเล็กต้องประสบปัญหาทะเลาะเบาะแว้งแยกทางกับภรรยา โดยยกธุรกิจให้กับภรรยาและมีการแบ่งสมบัติให้ลูกอีก 2 คนส่วนตัวเขาเองใช้เงินส่วนตัวไปอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยไปกับการกินการเที่ยวอย่างหนักจนกระทั่งล้มป่วยหนักและเงินที่มีก็เริ่มด้วยหรอจนไม่พอกับการรักษาตัวและสุดท้ายตัวเขาก็ต้องมาใช้ชีวิตเร่ร่อนดังกล่าว

โดยตัวเขาก็ได้มีการย้อนรอยอดีตความเป็นมาของตัวเองว่าเมื่อ 10 ปีก่อนเคยอยู่ในฐานะคนร่ำรวยคนหนึ่งทำธุรกิจหลายอย่างชาวบ้านในตลาดต่างรู้จักกันดีแต่เมื่อมา 5 ปีก็เกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบความดันโลหิตสูงเบาหวานและสุดท้ายต้องกลายมาเป็นอัมพฤกษ์และต้องเข้ารักษาตัวเข้าออกอยู่โรงพยาบาลเป็นประจำอยู่เสมอและสุดท้ายก็เกิดในปัญหาของปัญหาครอบครัวจึงทำให้ต้องแยกทางกับภรรยาก่อนที่จะแบ่งทรัพย์สินให้กับลูกและภรรยาของตัวเอง

“ผมเอาทรัพย์สินส่วนแบ่งที่ได้จากภรรยาเพียงน้อยนิดนำไปขายเพื่อเอาเงินมารักษาตัวเองจนไม่มีเหลือสักบาท ทุกวันนี้อาศัยเพียงศาลาวัดหรือไม่ก็โรงพยาบาลเป็นที่ซุกหัวนอน ขอเงินและอาหารจากชาวบ้านที่คุ้นเคยกันประทังชีวิตมากว่า 5 ปีแล้ว”

โดยในภายหลัง นายสุพัฒน์ ทิพลักษณ์ รองผอ.ศูนย์ช่วยเหลือผู้ไร้ที่พักพิง ก็ได้มีการเข้ามาให้ความช่วยเหลือและปรึกษาพูดคุยกับญาติๆครั้งนึงเพื่อออกหาทางร่วมกันเพราะทราบจากชาวบ้านว่าเฮียเล็กมีญาติพี่น้องที้ค่อนข้างระดับฐานะกันทุกคนและชาวบ้านก็ต่างนับหน้าถือตากันอีกด้วย

และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเคสที่เรานำมาฝากกันชาวนี้ไปสู่เคสที่ 2 กันบ้างค่ะบอกเลยว่าเคสนี้เองก็เป็นคนที่ร่ำรวยมาก่อนแต่สุดท้ายกลายเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวในอายุ 76 ปี ซึ่งเรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะลองตามมาดูเลย

โดยชายคนนี้เป็นเจ้าของที่ดินในกรุงเทพฯและตามหัวเมืองใหญ่ๆของประเทศไทยรวมแล้วประมาณ 500 กว่าไร่โดยตัวเขาเองก็เคยได้ประกอบธุรกิจแต่สุดท้ายก็ไม่ได้กำไรงามอย่างที่คาดแต่ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างที่เคยเป็นหรูหราแล้วหมดเงินไปกับการกินตามดื่มนับแสนบาทอีกทั้งยังมีการส่งรูปทุกคนให้เรียนเมืองนอกส่วนทางด้านของภรรยาก็ชอบเล่นหุ้นและสามารถสร้างรายได้เป็นเงินสดกว่าพันล้านบาท และสามารถผ่านวิกฤตต้มยํากุ้งเมื่อปี 40 มาได้แบบไม่ได้ผลกระทบอันใดอีกด้วย

แต่ต่อมากับเกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ของประเทศไทยจึงทำให้ธุรกิจการค้าไม้ต้องเลิกล้มลงก่อนที่จะย้ายมาตั้งโรงงานอะไหล่อยู่ที่จังหวัดอยุธยาผลกระทบอุทกภัยในครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียทรัพย์สินไปมากส่วนทางด้านภรรยาของเขาก็ต้องเล่นหุ้นขาดทุนกว่า 400 ล้านบาทสุดท้ายก็มีแต่หนี้กองโตจำนวนกว่า 200 ล้าน

“เมียผมชอบเล่นหุ้น หุ้นก็ขึ้นเอาๆ เรามีเงินสดหลายร้อยล้าน ปีที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ผมไม่ได้รับผลกระทบ กระทั่งปีที่น้ำท่วมใหญ่ ผมจึงเลิกกิจการโรงไม้ หันมาตั้งโรงงานอะไหล่เครื่องยนต์ที่อยุธยา ทรัพย์สมบัติครั้งนั้น มีรถยนต์ 19 คัน บ้านอีก 5 หลัง ที่ดินทั้งหมดและเงินสดที่เคยมี แฟนผมเล่นหุ้นเจ๊งไปสี่ร้อยกว่าล้าน ลูกๆ ทำธุรกิจก็หมดตัวขาดทุนย่อยยับ ภายใน 2 ปีสิ่งที่ผมมีมันหายไปหมด เหลือไว้เพียงหนี้สินสองร้อยกว่าล้าน ปัจจุบัน ผมคือบุคคลล้มละลาย เช่าห้องแถวอยู่พอได้ขายก๋วยเตี๋ยวประทังชีวิต รอความตายไปวันๆ เมียผมก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร ลูกๆ ผมไม่เคยเห็นหน้า ตอนนี้ผมอายุ 76 ผมต้องยกหม้อก๋วยเตี๋ยว ล้างจานเอง” ชายแก่วัย 76 ปี ถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟัง

โดยทุกวันนี้เองเขาก็ได้บอกกับทุกคนว่าตัวเขาปลงแล้วมาลำบากตอนแก่เงินค่าเช่าห้องก็ต้องไปยืมคนอื่นยืมกับคนที่เราเคยด่าเขาไว้โดยในตอนนั้นลูกของคนที่ยืมก็ยื่นเงินให้ประมาณ 5 แสน และพูดว่า “พ่อผมบากหน้าไปยืมเงินคุณลุงเพราะตอนนั้นผมเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดสมอง พ่อนั่งร้องไห้ คุณลุงด่าแล้วโยนเงินให้เหมือนหมา”
เพราะเหตุนี้เองทำให้ตัวเขาต้องเดินร้องไห้มาถึงบ้านเอาเงินจ่ายค่าห้องแถวและนำเงินเก็บอีก 30,000 บาทมาลงทุนและเข้าใจถึงคำว่ากรรมตามสนองในทันทีเพราะหลานของเขาไม่ได้ด่าเขาแต่หลานพูดความจริง ที่สุด แต่ในตอนนี้ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนแต่ก่อนแต่ก็มีความสุขดีพอมีแม่ชีมาขอกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านก็ไม่เคยคิดเงินและเข้าถึงธรรมะมากขึ้นรู้จักเข้าวัดเข้าวารู้จักการทำทานแต่ตอนนี้ตัวเขาก็ห่วงแต่ภรรยาของตัวเอง

ผ่านไปแล้วกับเคสที่ 2 คราวนี้มาดูเคสที่ 3 กันบ้างว่าจะเป็นอย่างไรซึ่งอันนี้เป็นเรื่องราวของพ่อคนหนึ่งที่ทิ้งแม่-ลูก 3 คนให้เผชิญชะตากรรมในสหรัฐอเมริกาแต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นลองตามมาดูกันได้เลย

ชาตรี ศิษย์ยอดธง คนไทยดังระดับโลก ได้มีการบอกว่าในแต่ก่อนหน้านี้ธุรกิจของเขาได้ลงลมละลายลง ตัวเขานั้นมีอายุประมาณ 20 ปีจากที่เคยกินแบบสุขสบายแต่สุดท้ายเพราะของเขาก็ต้องทิ้งแม่กับลูกๆ ไปอย่างไร้เยื่อใยจนกลายเป็นคนไร้ที่อยู่ไร้ที่ซุกหัวนอนและเมื่อทนความหนาวไม่ไหวก็ต้องพาคุณแม่ไปหลับนอนในหอพัก ‘ฮาร์วาร์ด’ และใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากอดมื้อกินมื้อกอดคอกันร้องไห้แทบทุกวันโดยพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างนั้นมาอยู่หลายปี

ซึ่งย้อนกลับไปในขณะที่เขาอายุ 14 บ้านของเขามีฐานะดีเป็นอย่างมากคุณพ่อได้ทำธุรกิจที่ดินจนกระทั่ง 20 ปีรถและเงินที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นธุรกิจล้มละลายจากเงินที่เคยมีก็กลายเป็นคนจนในทันทีพ่อแม่แยกทางอีกทั้งยังเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้เขากำลังไปบินสมัครเรียนที่ Harvard รัฐ Massachusetts จนสุดท้ายคิดว่า อาจจะไม่ได้บินไป และจะทำงานอยู่เมืองไทย เพราะไม่มีเงิน แต่คุณแม่มีความมั่นใจ และพูดเสมอ เขาเป็นลูกคนโต เป็นความหวัง

“บางครั้งเห็นคุณแม่อด เพื่อให้เราได้กินอิ่ม ช่วงนั้นผมร้องไห้บ่อยมาก..เชื่อไหมพูดไปแล้วภาพนั้นยังติดตา ร้องไห้ เพราะไม่มีอนาคต บ้านไม่มี ไม่มีทางออก น้องชายอายุ 15 จะไปโรงเรียนยังไง เหมือนเราโดนทิ้งจากพ่อ และถูกผลักให้กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวแบบไม่ได้ตั้งตัว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยากลำบากมาก จนสุดท้าย ผมกระเสือกกระสนจนเดินทางไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดได้ แต่ชีวิตก็อยู่ลำบาก ต้องกินข้าววันละมื้อ เพื่อเก็บเงินที่ได้จะส่งเงินไป เดือนหนึ่งโทรกลับไปหาแม่ได้น้อยมาก โทรครั้งละแค่ 1 นาที”

โดยในครั้งหนึ่งตัวเขาก็เคยร้องไห้หนักกันมากคิดอยู่เสมอว่าทำไมชีวิตต้องมาลำบากแบบนี้แต่นั่นก็ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้เพราะเขาได้ตัดสินใจพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่สหรัฐอเมริกาแต่ตอนกลางคืนก็ต้องพาแม่มานอนอยู่ในห้องพักปกติที่เราอาศัย award เข้าออกได้แต่ข้าไม่ได้แต่แม่ไม่มีที่อยู่ก็เลยต้องแอบพาแม่เข้ามานอนโดยตัวเขาต้องอาศัยนอนอยู่บนพื้นในให้แม่นอนอยู่บนเตียงแล้วก็ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ไปประมาณ 2 ปี

“ที่อเมริกาผมต่อยมวยเพราะมันทำให้มีชีวิตรอดจากความอดอยาก หลายครั้งใจท้อแท้ แต่การฝึกฝนมวยไทย ทำให้ร่างกาย จิตใจเข้มแข็งและฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ การฝึกทั้งข้างใน ความเข้มแข็ง ความอดทนของหัวใจ ข้างนอก ความเข้มแข็ง ความอดทนของร่างกายทั้งหมดนี้ผมเรียนรู้จากเพื่อนๆ นักมวยครูยอดธง จึงทำให้ผมสามารถมีชีวิตใหม่ มีเงินทองชื่อเสียง เรียนจนจบ และหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่อย่างสุขสบายได้”

มาถึงเคสสุดท้ายกันแล้วเคสนี้เป็นเรื่องราวของคนที่เคยร่ำรวยแต่ว่าเมื่อประสบปัญหาของต้มยำกุ้งจึงทำให้ตัวเขาเป็นคนล้มละลาย

ศิริวัฒน์ ขายแซนด์วิช ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใครหลายคนอาจจะเคยได้ยินกันเป็นอย่างดีโดยตัวคุณศิริวัฒน์ก็ได้มีการย้อนไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนว่าในตอนนั้นไม่มีใครลืมวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 เลยหลังที่รัฐบาลได้ประกาศค่าลอยตัวเงินบาทก็ทำให้เศรษฐกิจพังอย่างยับเยินทำให้ผู้คนตกงานกันอย่างมากมายอีกทั้งยังมีใครหลายคนฆ่าตัวตายจนเกิดกลายเป็นข่าวรายวันซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นการสร้างบาดแผลใหญ่ให้กับคนไทยและกับตัวเขา “ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ”เป็นอย่างมากโดยในแต่ก่อนนั้นเขากลายเป็นอดีตเซียนหุ้นแต่ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ที่ถูกศาลสั่งให้กลายเป็นบุคคลล้มละลายอีกทั้งยังมีหนี้สินติดตัวนับพันล้านและในที่สุดตอนนี้เขาก็ผันตัวเป็นพ่อค้าขายแซนวิชข้างถนน

“หลังเรียนจบด้านบริหารการเงินจากมหาวิทยาลัยเทกซัส สหรัฐอเมริกา ก็กลับมาทำงานตามบริษัทเงินทุน
หลักทรัพย์ต่างๆ จนได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์เอเซียจำกัด ตั้งแต่อายุ 29 ช่วงนั้นตลาดการลงทุนบูม ผมเคยทำกำไรจากหุ้นได้มากสุดวันละสิบล้าน มีสื่อเชิญไปออกรายการมากมาย พอมีเงินก็ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ช่วงนั้นผมพักอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมเดียวกับคุณเจริญ ศิริวัฒนภักดี มหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย ก่อนจะเกิดวิกฤติฟองสบู่”

โดยในตอนนั้นทางคุณศิริวัฒน์ก็ได้ทำการกู้เงินทุนเพื่อสร้างคอนโดมิเนียมที่เขาใหญ่ในราคาห้องละ 5 ล้านบาทซึ่งจะขายเฉพาะคนรวยเท่านั้นใช้การลงทุนในตลาดหุ้นแบบ margin คือการลงทุนในการกู้เงินมาลงหุ้นตกก็ถูกบังคับขายเพราะขายหุ้นจนหมดก็เหลือแต่หนี้ เช่น มีหนี้อยู่ 100 ล้าน พอหุ้นตกก็ขายได้ 70 ล้าน เหลือหนี้ 30 ล้าน ดอกเบี้ยก็เดินไปเรื่อยๆ พอเศรษฐกิจมีปัญหา คอนโดฯ ที่ขายถูกลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ ลูกค้าซื้อห้องราคา 30 ล้าน เงินดาวน์ 10% เป็นเงิน 3 ล้านบาท เมื่อลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ ส่วนที่เหลือ 27 ล้าน ก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด สุดท้ายจากหนี้ไม่กี่ล้านกลายเป็นพันล้าน

“ถึงวันที่เรียกประชุมพนักงานบริษัทซึ่งมีอยู่ 40 คน เพื่อแจ้งว่าบริษัทต้องปิดตัว ตอนนั้นพนักงานครึ่งหนึ่งลาออก อีกครึ่งหนึ่งกำลังมืดแปดด้าน ไม่มีที่ไป เพราะช่วงนั้นมีแต่บริษัทปิดตัว งานหายาก ผมจึงเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้าย แต่คำสอนหนึ่งที่ได้มาจากคุณพ่อคุณแม่คือ อย่าทิ้งลูกน้อง เพราะเขาเหมือนครอบครัวเดียวกับเรา ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้ ผมปรึกษาภรรยาว่าจะช่วยพวกเขายังไงดี ลำพังตัวคนเดียวอาจจะไปขายประกัน หรือทำบริษัทขายตรงก็ได้ แต่งานเหล่านั้นมันเลี้ยงคนไม่ได้ สุดท้ายภรรยาบอกว่า งั้นเรามาทำแซนด์วิชขายกันเถอะ” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานคนสู้ชีวิต จนสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

และนี้ก็คือ ตัวอย่างทั้งหลายที่บ่งบอกว่าแม้ในชีวิตของเรานั้นเคยจะร่ำรวยก็จะสุขสบายมากแค่ไหนแต่ถ้าหากพบว่าไม่แนะแนวของชีวิต คนทุกคนก็ควรจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังนะคะและต้องยืนให้ได้อย่างคนเหล่านี้อย่าหยุดพัฒนาตัวเองแม้จะล้มแต่ก็ต้องยืนให้ได้ในที่สุดเพราะทุกคนมีโอกาสและผลต่างของตัวเอง