ศัลยเเพทย์เศรษฐีป่วยเป็นมะเร็งเเละเสียชีวิตลง ถ้อยคำพยานที่อยากเเบ่งปันให้ทุกคนอ่าน

 ต่อไปนี้คือคำพยานของ นพ.ริชาร์ด เตียว (Dr. Richard Teo) ศัลยแพทย์เสริมความงามชื่อดัง ชาวสิงคโปร์ มหาเศรษฐีร้อยล้าน ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิตให้กับนักศึกษาทันตแพทย์สิงคโปร์ในวันที่ 19 มกราคม 2012 ก่อนที่เขาจะจากไปอยู่กับพระเจ้าเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ด้วยวัยเพียง 40ปี

 ภูมิหลัง

   สวัสดีครับทุกท่าน ได้โปรดอดทนกับเสียงแหบ ๆ ของผมซึ่งเป็นผลมาจากการให้ยาคีโมรักษาโรคมะเร็งของผมนะครับ ก่อนอื่น ผมขอแนะนำตัวเองนะครับ ผมชื่อ นายแพทย์ริชาร์ด เป็นเพื่อนกับหมอแดนนี่ ผู้ซึ่งได้เชื้อเชิญให้ผมมาพูดในวันนี้ ผมอยากเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ว่า ผมเป็นแบบฉบับของผลผลิตของสังคมทุกวันนี้ ซึ่งถูกครอบงำด้วยอิทธิพลจากสื่อ ผมเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของสื่อปัจจุบัน ที่สร้างอิทธิพลและความประทับใจให้แก่ผมตั้งแต่เด็ก ว่า “การมีความสุข คือการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ และการที่จะประสบความสำเร็จได้ หมายถึงการเป็นคนที่ร่ำรวยมั่งคั่ง”

ชีวิตของผมจึงดำเนินไปตามคติพจน์ที่ว่านี้มาตลอด ผมเติบโตมาจากครอบครัวฐานะยากจนปานกลาง สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนที่ชอบการแข่งขันในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องกีฬา, เรื่องการเรียน หรือเรื่องการเป็นผู้นำ ผมได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้วทั้งหมด เหลือแต่เรื่องสุดท้าย ก็คือเรื่องของเงินทอง ดังนั้น ในปีท้าย ๆ ของการฝึกอบรมเป็นจักษุแพทย์ของผม ผมทนเห็นเพื่อน ๆของผมที่ทำงานเอกชน พากันร่ำรวย ทำเงินได้มากมายมหาศาลไม่ไหว ผมจึงพูดกับตัวเองว่า “พอกันที สำหรับการฝึกอบรมเป็นจักษุแพทย์ที่เสียเวลานานมากเกินไปแล้ว”

   ในเวลานั้น เป็นยุคที่การแพทย์เวชกรรมเสริมความงามกำลังเฟื่องฟูสุดขีด และผมเห็นเป็นโอกาสทองที่จะทำเงินได้มาก มากจนผมคิดว่า จงลืมเรื่องการฝึกเป็นจักษุแพทย์ไปเสียเถอะ ผมจะเป็นหมอเสริมความงามดีกว่า ผมพบสัจธรรมที่ว่า ไม่มีใครร่ำรวยจากการหากินกับคนจน แต่เขาร่ำรวยจากการหากินกับพวกดารา, นักการเมือง, มหาเศรษฐี และคนดังที่มีชื่อเสียงต่างหาก เพราะคนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแพง เมื่อต้องจ่ายเงินสัก 750 บาทเป็นค่ารักษาโรคทั่วไป แต่กลับเต็มใจที่จะควักเงิน 250,000 บาทสำหรับเป็นค่าดูดไขมันเสริมความงาม

   ผมจึงมุ่งไปสู่ธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว เลิกรักษาคนป่วยทั่วไป แล้วไปเป็นแพทย์เสริมความงามแทน ผมทำตั้งแต่ดูดไขมัน ,เสริมหน้าอก, ทำตาสองชั้น ทำทุก ๆ อย่างที่คนไข้ขอให้ทำ และมันก็ทำเงินให้ผมมาก ตอนเริ่มต้นทำคลินิกใหม่ ๆ ผมมี ลูกค้ามารอคิวนาน 1 อาทิตย์ แล้วก็เพิ่มเป็น 1 เดือน, 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน มาขึ้นเขียงรอให้ผมผ่าไม่หวาดไม่ไหว ก็พวกคุณหญิงคุณนายรักสวยรักงามทั้งหลายที่วัน ๆ ไม่ทำงานอะไร คลินิกของผมจึงเริ่มต้นโตขึ้น จนล้นแล้วล้นอีก ต้องจ้างแพทย์เพิ่ม จาก 1 คน เป็น 2 คน, 3 คน ,และ 4 คน และเพิ่มไปเรื่อย ๆ ไม่เคยเพียงพอ เช่นเดียวกับความต้องการของผมก็ไม่เคยพอเพียงเช่นกัน ผมเริ่มเปิดขยายคลีนิคไปที่อินโดนีเซียเพื่อล่อคุณหญิงคุณนายชาวอินโดนีเซีย ผู้รักความงามทั้งหลายให้มาใช้บริการของผม

   ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี นี่เป็นโอกาสทองของผมจริง ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ผมจึงถอยรถเฟอรรารี่คันแรกของผมออกมา เนื่องจากผมมีเงินเหลือเก็บมากมาย ผมจึงหาลู่ทางลงทุนอย่างอื่นต่อ ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โดยชักชวนเพื่อน ๆ ของผม ที่มีทั้งนักการธนาคารที่ทำเงินได้ปีละกว่า 125 ล้านบาท มาซื้อที่ดินและสร้างบ้านด้วยกัน ผมมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์

   ในขณะเดียวกันเพื่อนของผม แดนนี่ ก็กำลังจะจัดงานฟื้นฟูที่โบสถ์ เพื่อนสนิทบางคนของผม ก็มาชักชวนผมว่า “ริชาร์ด กลับมาโบสถ์กับพวกเราเถอะ” ผมได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนมา 20 ปี รับศีลบัพติสมาเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว แต่เป็นคริสเตียนตามแฟชั่นเท่านั้นนะ เพราะเพื่อน ๆของผมก็เป็นคริสเตียนกันหมด ผมต้องการจะรับศีลบัพติสมา เพื่อจะได้กรอกในแบบฟอร์มว่าเป็น “คริสเตียน” ก็มันเท่ห์ดีออก ความจริงแล้ว ผมไม่เคยมีพระคัมภีร์ และไม่เคยรู้ว่าพระคัมภีร์พูดถึงอะไรด้วยซ้ำ

   ผมกลับไปร่วมในคริสตจักรสักพักหนึ่ง แล้วก็เริ่มเบื่อ ผมพูดกับตัวเองว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจะกลับไปมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ใหม่ และเลิกไปโบสถ์เสียที เพราะผมยังมีสิ่งที่อยากแสวงหาอีกหลายอย่างที่นั่น ไม่ว่าเรื่องของผู้หญิง, เรื่องการศึกษา, กีฬา ฯลฯ นอกจากนี้ ผมฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้โดยไม่ต้องมีพระเจ้า แล้วใครยังต้องการพระเจ้าอีกล่ะ ในเมื่อตัวผมเองก็สามารถทำทุกสิ่งให้สำเร็จได้ด้วยตัวเองด้วยความหยิ่งยะโส ผมจึงบอกกับเพื่อน ๆ ไปว่า ไปบอกกับศิษยาภิบาลของคุณให้เลื่อนเวลาเทศนาไปเป็นตอนบ่ายสองโมงซิ แล้วผมจะพิจารณาดูอีกทีว่าจะไปโบสถ์ดีหรือไม่ แล้วผมก็พูดไปอีกหนึ่งประโยคโดยไม่รู้ว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่ได้พูด ออกไป ผมบอกกับแดนนี่และเพื่อน ๆ ว่า ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผมกลับไปโบสถ์จริง ละก็ พระองค์ก็จะให้หมายสำคัญกับผมเอง และแล้วอีกสามสัปดาห์ต่อมา ผมก็ต้องกลับไปโบสถ์อีกจริงๆ

ผลการวินิจฉัย


   ในเดือนมีนาคมปี 2011 โดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ผมยังสาละวนอยู่กับการออกกำลังกาย เพราะผมเป็นพวกบ้าเข้าห้องยิม ทั้งยกน้ำหนัก,วิ่งออกกำลัง,ว่ายน้ำ หกวันต่อสัปดาห์ ผมเกิดมีอาการเจ็บสันหลังที่ไม่ยอมหาย ผมจึงไปตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI)เพื่อหาดูว่ามีหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือ ไม่ ก่อนวันที่ผมจะไปเข้าเครื่องตรวจ ผมยังเล่นยกน้ำหนักอยู่ในห้องยิมอยู่เลย แต่ในวันถัดมา หมอก็ตรวจพบว่า กระดูกไขสันหลังครึ่งหนึ่งของผม ถูกแทนที่ด้วยเซลมะเร็งไปหมดแล้ว โอ้ว นี่มันอะไรกันนี่ วันต่อมา ผมจึงไปตรวจวัดชีวภาพของเซลมะเร็ง(PET scan)อีก และหมอก็ให้การวินิจฉัยว่า ผมเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย ระยะที่ 4B มะเร็งได้กระจายไปทั่วสมอง, ไขสันหลังครึ่งหนึ่ง, ปอดทั้งสองข้าง, ตับ ,และต่อมหมวกไต, ฯลฯ ของผมแล้ว

   ผมบอกกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนนี้ ผมยังออกกำลังกายอยู่ในห้องยิมเลย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นนี่ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้ได้ว่าผมมีความรู้สึกอย่างไร ขณะหนึ่ง ชีวิตของผมกำลังก้าวไปถึงจุดสุดยอดแลัว พอข้ามวัน กลับมีข่าวร้ายมาแทนที่ และทำให้ชีวิตของผมทั้งหมดพังทลายลง โลกทั้งโลกของผมกำลังหัวขะมำ ผมยอมรับไม่ได้ ผมมีญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่ร่วมร้อยคน และไม่มีใครเลยสักคนที่เป็นโรคมะเร็ง ในความคิดของผมแล้ว ผมมีพันธุกรรมที่ดี ผมไม่สมควรจะได้รับสิ่งนี้ ญาติบางคนของผมสูบบุหรี่หนักกว่าผมอีกก็ยังไม่เป็นมะเร็ง แล้วทำไมจะต้องเป็นผม




 เผชิญหน้ากับพระเจ้า

   วันรุ่งขึ้น ขณะนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดในโรงพยาบาล เพื่อให้หมอเจาะชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา ผมยังอยู่ในสภาพปฏิเสธความจริง ระหว่างที่หมอและพยาบาลออกไปนอกห้อง บอกให้ผมนอนรออีก 15 นาที เพื่อจะทำเอ๊กซเรย์ปอดดูว่าผมมีถุงลมรั่วจากการเจาะปอดหรือไม่ ขณะที่จ้องไปอย่างไร้จุดหมายบนเพดานห้องผ่าตัดที่หนาวเย็นและเงียบเชียบนั้น ฉับพลัน ผมก็ได้ยินเสียงพูดจากภายใน ไม่ใช่เสียงข้างนอก เป็นเสียงพูดเบา ๆ ที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน พูดเจาะจงกับผมว่า “สิ่งนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับเจ้า ในช่วงที่เจ้ากำลังรุ่ง เพราะว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใจ” ผมไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน เพราะถ้าเป็นเสียงที่เราพูดกับตัวเอง เราก็มักจะพูดว่า “เราจะไปจากที่นี่กี่โมงดี หรือ เราจะไปกินมื้อเย็นที่ไหนดี” เราจะไม่พูดว่า “เจ้าควรจะไปที่ไหนต่อจากนี้ดี” แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้นมาจากบุคคลที่สาม

   ณ เวลานั้น ความรู้สึกของผมเหมือนทำนบแตก แล้วผมก็เริ่มต้นร้องไห้โฮออกมาคนเดียวจนหยุดไม่ได้ ในวินาทีนั้น ผมรู้ได้ในทันทีว่า ทำไมเสียงนั้นจึงบอกกับผมว่า นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใจ ก็เพราะความเย่อหยิ่งยะโสตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยต้องง้อใคร ผมมีพรสวรรค์ในการทำทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง แล้วทำไมผมจะต้องไปพึ่งคนอื่นอีก ผมหลงในอัตตาของตัวเองจนพระเจ้าต้องใช้วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมหัน กลับไปหาพระองค์

   ความจริงแล้ว ถ้าผมเป็นมะเร็งเพียงแค่ระยะที่ 1 หรือ 2 ผมก็อาจยังเที่ยวสาละวน วิ่งหาศัลยแพทย์ทรวงอกที่เก่งที่สุดมาผ่าตัดก้อนมะเร็งออกจากปอดของผม หรือเอาปอดออกไปทั้งกลีบ แล้วทำคีโมรักษามะเร็งต่อ ซึ่งมีโอกาสจะรักษาหายขาดได้สูง แล้วผมก็คงไม่ต้องการพระเจ้า แต่นี่มันเป็นมะเร็งระยะ 4B มนุษย์คนไหนก็ช่วยไม่ได้ นอกจากพระเจ้า มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่ผมก็ยังไม่ได้เชื่อเสียงภายในนั้นง่าย ๆ ผมไม่ได้กลับมาศรัทธาในพระเจ้าอีก, หรืออธิษฐาน หรืออะไรพรรค์นั้น สำหรับผม เสียงนั้นก็เป็นเพียงเสียงที่ผมอาจพูดกับตัวเองก็ได้

เหตุการณ์ต่อมา

   ผมได้รับการเตรียมตัวเพื่อรับคีโมรักษามะเร็ง เริ่มต้นด้วยการฉายรังสีรักษาทั่วสมอง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 -3 สัปดาห์ ผมต้องได้รับยาตัวหนึ่งชื่อ Zometa เป็นยาที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก เพราะเมื่อผมได้รับคีโมทำลายเซลมะเร็งในไขกระดูกนั้น มันจะทำให้กระดูกของผมกลวง แตกหักได้ง่าย จึงต้องให้ยา Zometa เพื่อป้องกันกระดูกหัก แต่ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของยาตัวนี้ก็คือ มันสามารถทำให้เซลกระดูกที่กรามตายได้ ดังนั้น ผมจำเป็นต้องถอนฟันกรามซี่ในสุดออกก่อน

  หลายปีก่อน ผมเคยถอนฟันคุดที่กรามบนออกสองซี่ แต่ฟันกรามล่างสองซี่ไม่มีปัญหา ผมจึงขอเก็บมันไว้ก่อน ตอนนี้ แดนนี่ หมอฟันเพื่อนของผม จึงรับอาสาจะถอนฟันกรามซี่ล่างให้กับผม ผมจึงต้องไปนอนอยู่บนเก้าอี้ทำฟัน ถามตัวเองว่า ทรมานจากการฉายแสงรังสีรักษายังไม่พอหรือ นี่ยังจะต้องมาเจ็บตัวจากการผ่าเอาฟันกรามออกอีก แล้วผมก็ถามแดนนี่เพื่อนผมว่า ” มีวิธีอื่นที่ทรมานน้อยกว่านี้อีกไหมเพื่อน” เขาก็ตอบว่า “มี, นายก็ลองอธิษฐานดูซิ” แล้วผมก็ตอบว่า “ไม่มีอะไรจะต้องเสียนี่ อธิษฐาน ก็ อธิษฐาน” เราจึงอธิษฐานร่วมกัน แล้วแดนนี่ก็ทำเอ๊กซเรย์ฟันให้ผม อุปกรณ์ผ่าฟันก็เตรียมไว้รอพร้อมแล้ว แต่ ดูนี่ซิ จากฟิลม์เอ๊กซเรย์ปรากฏว่า ผมไม่มีฟันกรามซี่ในสุดด้านล่าง คนส่วนใหญ่จะมีฟันกรามซี่ในสุด 4 ซี่ บางคนก็ไม่มีเลย แต่ถ้ามันหายไปเองทั้ง 2ซี่ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่พบบ่อย

   ณ เวลานั้น ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องการอธิษฐาน และคิดไปเองว่า อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ผมยังคงไปพบแพทย์รักษามะเร็งต่อไป ถามหมอว่า ผมจะมีชีวิตไปได้อีกนานเท่าไร หมอบอกว่า “ไม่เกินหกเดือน” ผมถามว่า”แม้ว่าจะให้คีโมรักษามะเร็งแล้วหรือ” หมอบอกว่า “ก็ต่ออายุไปได้อีกสัก 3 – 4 เดือน” มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผมจะทำใจให้รับเรื่องเหล่านี้ได้ ผมยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนทุกวัน แม้ขณะที่ไปทำการฉายแสง ผมก็ยังคงหวังว่า นี่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เมื่อผมตื่นขึ้น ทุกอย่างก็จะจบเอง วันแล้ววันเล่า ขณะที่ผมต้องดิ้นรนต่อสู้กับโรคร้าย ผมเกิดอาการซึมเศร้าตามมา

   แต่มีวันพิเศษวันหนึ่งที่ผมจำได้แม่น เป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมง ขณะผมกำลังแต่งตัว เตรียมจะไปพบแพทย์รักษามะเร็ง ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงสันติสุขพรั่งพรูเข้ามาในจิตใจ ทำให้ผมรู้สึกสบายและมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก จนผมต้องส่งข้อความไปบอกเพื่อน ๆ ว่า “เพราะอะไรก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากอย่างฉับพลัน มันเพิ่งเกิดขึ้นประเดี๋ยวนี้เอง” แล้วอีกหลายวันหรือเป็นอาทิตย์ต่อมา แดนนี่ก็เปิดเผยกับผมว่า เขาเองได้แอบอดอาหารอธิษฐานเพื่อผมเป็นเวลา 2 วันแล้ว เขาได้ต่อรองกับพระเจ้าโดยการอดอาหารเป็นเวลา 2 วัน และเพิ่งสิ้นสุดการอดอาหารในเวลาบ่าย 2 โมงวันนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงคลื่นแห่งความสุขถาโถมเข้ามา โดยผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการอดอาหารอธิษฐานของเขา โอ้โห เรื่องมันจะน่าบังเอิญอะไรกันขนาดนี้

   ผมเริ่มจะมีความเชื่อขึ้นนิด ๆ แล้วซิ วันเวลาผ่านไปจนผมรับการฉายแสงจนครบคอร์ส ประมาณ 2 อาทิตย์ และเตรียมพร้อมที่จะรับคีโมบำบัดต่อไป แพทย์จึงอนุญาตให้ผมได้พักสักสองสามวัน เป็นที่รู้กันว่า มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดเทียบกับ มะเร็งอื่น ๆเช่นมะเร็งเต้านม ,มะเร็งลำไส้, หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เพราะว่าคุณสามารถผ่าตัดเต้านม, ลำไส้ ,หรือต่อมลูกหมากที่เป็นมะเร็งออกได้ แต่คุณไม่สามารถตัดปอดสองข้างของคุณออกได้ อย่างไรก็ตาม มีประมาณ 10% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่การรักษาได้ผลดีพอสมควร เนื่องจากเขามียีนส์กลายพันธุ์ชนิด EGFR mutation ซึ่งส่วนใหญ่ 90% จะเป็นผู้ป่วยเพศหญิง เชื้อชาติเอเชียที่ไม่สูบบุหรี่เลย แต่ผมเป็นเพศชาย สูบบุหรี ตามสังคม วันละมวนหลังอาหารเย็น และสุดสัปดาห์กับเพื่อนฝูง โอกาสของผมจึงมีเพียง 3-4%ที่จะมียีนส์นี้ ดังนั้นผมจึงต้องได้รับคีโมบำบัดต่อ

   แต่ด้วยแรงอธิษฐานอย่างแรงกล้าโดยเพื่อนของผม แดนนี่ และพี่น้องอีกหลายคนที่ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ผลการตรวจกลับมาขณะที่ผมกำลังรอการให้คีโมบำบัดอยู่ ว่า ผมมียีนส์ EGFR positive ซึ่งมันเป็นข่าวดี เพราะผมสามารถกินยาเม็ดรักษาโรคมะเร็งได้ แทนการฉีดยาคีโมบำบัดซึ่งมึผลข้างเคียงมากกว่า ผมอยากแสดงภาพผล CT scan ปอดของผม ก่อนและหลังให้คีโมบำบัด ก่อนให้คีโม จุดเหล่านี้คือก้อนมะเร็งนับหมื่น ๆ ก้อนที่กระจายไปทั่วปอดทั้งสองข้างของผม นั่นเป็นสาเหตุที่หมอบอกกับผมว่า ถึงให้คีโมไปแล้ว ผมก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่เกิน 3-4 เดือน

   แต่เนื่องจากผมมียีนส์กลายพันธุ์ที่ตอบสนองต่อการกินยาเม็ดรักษามะเร็ง ภายหลังการรักษาเพียง 2 เดือน นี่คือผลลัพท์ที่คุณเห็น และเป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงกระทำได้ ทำให้ผมมีโอกาสได้มาแบ่งปันเรื่องนี้กับพวกคุณในวันนี้ได้ แต่ในตอนนั้น ผมยังคงปฏิเสธพระเจ้าอยู่ และคิดว่า ก็เพราะยามันดี นะซิ และแม้ว่าจะมีพี่น้องอธิษฐานเพื่อผมอยู่ จนเซลมะเร็งยุบหายไปมากกว่า 90%ในอีกหลายเดือนต่อมา

   ข้อเสียอย่างหนึ่งของการมีความรู้มากเกินไปก็คือ คุณมีความรู้เกี่ยวกับสถิติและความเป็นไปได้ของโรคมะเร็งว่า อัตราการรอดชีวิตในปีที่หนึ่ง, ปีที่สอง ,เป็นเท่าไหร่ คุณรู้ว่าเซลมะเร็งมันมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา และจะดื้อต่อยารักษาในเวลาต่อมา ในที่สุดก็จะหมดยาที่รักษาได้ การมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้เช่นนี้ เป็นความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างแสนสาหัส มะเร็งไม่ได้เกาะกินเพียงแค่ร่างกายของคุณเท่านั้น แต่มันยังเกาะกินจิตใจทั้งหมดของคุณด้วย คุณจะมีชีวิตต่อไปอย่างไรได้ถ้าปราศจากความหวัง คุณไม่อาจจะแม้แต่วางแผนชีวิตของคุณในอีกสักสองสามปีข้างหน้า หมอบอกให้ผมอดทนกับมันไปอีก 1 – 2 เดือน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องต่อสู้อย่างหนัก ตลอดเดือน มีนาคม, เมษายน ของปีนั้น และเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ผมถึงจุดตกต่ำที่สุดของชีวิต ผมต้องต่อสู้กับความรู้สึกหดหู่ และซึมเศร้า แม้ว่าร่างกายของผมจะเริ่มดีขึ้น

การได้รับการยอมรับและสันติสุขจากพระเจ้า

ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนอนอยู่บนเตียง ผมทูลถามพระเจ้าว่า “ทำไม, ทำไมผมต้องผ่านความทุกข์ทรมานและความยากลำบากเช่นนี้ ทำไมต้องเป็นผมด้วย” แล้วผมก็ผลอยหลับไปและฝัน ในความฝันนั้น ผมมองเห็นนิมิต ซึ่งพูดถึงพระธรรมฮีบรู บทที่12:7-8 ต้องบอกก่อนนะครับว่า เวลานั้นผมไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ และไม่รู้เลยว่าฮีบรู คือหนังสืออะไร มีกี่บทก็ไม่รู้

   แต่ในพระธรรมตอนนี้กล่าวไว้อย่างเฉพาะเจาะจงกับผม ผมยังคงนอนต่อไป และเมื่อตื่นขึ้นมา ก็พุดกับตัวเองว่า “ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ ลองเปิดดูสักหน่อย” แดนนี่เคยซื้อพระคัมภีร์ให้ผมเล่มหนึ่ง มันยังใหม่อยู่มาก ผมพลิกไปดูที่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เพราะชื่อฮีบรู สำหรับผม น่าจะเป็นหนังสือโบราณ จึงน่าจะอยู่ในพันธสัญญาเดิม แต่พอพลิกไปดูกลับไม่เจอ ทำให้ผมผิดหวังมาก ผมจึงลองพลิกไปดูพันธสัญญาใหม่ อยู่ที่นี่เอง

ฮีบรู บทที่ 12:7-8 กล่าวไว้ว่า

7 จงทนความทุกข์ยากโดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน?

8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้

ผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว พูดกับตัวเองว่า ข้อความนี้มาจากไหนนี่ ไม่น่าเชื่อใช่ไหม ที่คนที่ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์เลยอย่างผม จะฝันเห็นนิมิตเป็นข้อพระคัมภีร์ที่เฉพาะเจาะจงขนาดนี้ และเป็นคำตอบสำหรับผมโดยตรง ณ จุดนี้ โอกาสที่จะเป็นความบังเอิญยิ่งน้อยกว่าการที่ผมมียีนส์ EGFR positive เสียอีก และเป็นไปไม่ได้เลยที่ในบรรดาข้อพระคัมภีร์นับล้านข้อ ผมจะมาเปิดเจอข้อนี้ได้โดยบังเอิญ

   ในที่สุด ผมจึงยอมจำนนกับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และทูลกับพระเจ้าว่า “พระองค์ชนะ, พระองค์ชนะ” นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงเริ่มต้นศรัทธาในพระเจ้าของผม และครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินเสียงจากภายในอีกครั้ง ก็ในเดือนเมษายนตอนบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจะนอน ได้ยินเสียงพระองค์ตรัสว่า “จงช่วยผู้ที่ประสบความทุกข์ยาก” มันฟังดูเหมือนคำสั่ง มากกว่าคำพูดทั่วไป นั่นเป็นการเริ่มต้นงานช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากของผม ผมตระหนักว่า ผู้ประสบความทุกข์ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนยากจนเสมอไป แท้ที่จริงแล้ว คนยากจนจำนวนมากกลับมีความสุขมากกว่าคนร่ำรวยเสียอีก เพราะเขาพอใจในสิ่งที่เขามี แต่คนร่ำรวยกลับเป็นความทุกข์ด้วยปัญหาทางด้านร่างกาย, จิตใจ,และทางสังคม ฯลฯ

   ตลอดหลายเดือนหลัง ๆ นี้ ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร ในอดีต ผมแสวงหาความสุขด้วยการไขว่คว้าหาความร่ำรวย เพราะคิดว่ามันจะทำให้ผมมีความสุข แต่เมื่อผมนอนรอความตายอยู่บนเตียงนั้น ผมกลับไม่พบความสุขเลยในบรรดาสิ่งของวัตถุทั้งหลายที่ผมครอบครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรถเฟอรรารี่, ที่ดินที่ผมกำลังซื้อเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ ,ฯลฯ หรือแม้แต่การประสบความสำเร็จในธุรกิจ ก็ไม่ได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้ผมเลยแม้แต่น้อย ความสุขที่แท้จริงกลับมาจากความสัมพันธ์กับผู้อื่น

   บ่อยครั้งในอดีต ผมเคยคิดว่าการแสวงหาความมั่งคั่ง และการอวดร่ำอวดรวย โดยการขับรถเฟอรรารี่คันงามของผมไปให้ญาติ ๆ และเพื่อน ๆของผมได้ชื่นชม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน จะนำความสุขมาให้ผมและคนอื่น ๆ ที่จะได้ร่วมแสดงความยินดีร่วมกับผม แต่มันกลับเป็นความภาคภูมิใจชั่วครู่ที่ฉาบฉวย รังแต่จะสร้างความอิจฉาริษยา และทำให้ผู้อื่นชิงชังในตัวผมมากยิ่งขึ้น นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

   ผมพบว่าเมื่อผมนอนรอความตายอยู่บนเตียงคนเดียวนั้น การคิดถึงว่าผมได้นอนกอดรถเฟอรรารี่คันงาม มันไม่ได้ช่วยให้ผมมีความสุขขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตลอดหลายเดือนหลัง ๆ ที่ผมตกอยู่ในสภาวะหดหู่ใจ ผมพบว่า การได้มีความสัมพันธ์กับคนที่ผมรัก, เพื่อน ๆ และพี่น้องในพระคริสต์ของผมต่างหาก ที่ช่วยอุ้มชูจิตใจ และยกจิตวิญญาณผมให้สูงขึ้น การได้แบ่งปันความทุกข์,ความสุขกับคนที่ผมรักต่างหาก ที่เป็นความสุขที่แท้จริง

   ผมยังได้พบอีกว่า การยื่นมือไปช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่เขาตกทุกข์ยาก เป็นสิ่งที่นำรอยยิ้มและความสุขที่แท้จริงมาสู่ผู้คน เพราะผมได้ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากเช่นนี้มาแล้วด้วยตัวเอง และรู้ซึ้งว่ามันเป็นเช่นไร ไม่เหมือนคนอื่นที่ไม่เคยเป็นมะเร็ง แล้วคอยบอกผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งว่า “คุณต้องมีความคิดบวกเข้าไว้, ต้องมองโลกในแง่ที่ดีซิ” ถ้าลองคุณมาเป็นโรคมะเร็งเองบ้าง คุณจะยังมีความคิดในแง่บวกได้อีกไหม แต่สำหรับผม ผมสามารถพูดหนุนใจผู้อื่นได้อย่างเต็มปาก เพราะผมมีใบรับรองของการเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งมาแล้ว

   และสิ่งที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับผม คือการรู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ เป็นสิ่งที่นำความสุขที่แท้จริงมาให้เหนือความสุขใด ๆ นั่นไม่ใช่เพียงการมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรือรู้จักพระองค์จากการอ่านพระคัมภีร์เท่านั้น แต่คุณต้องรู้จักกับพระองค์ และมีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับพระองค์ด้วย


 กล่าวโดยสรุป

ผมอยากพูดว่า ยิ่งคุณจัดลำดับความสำคัญของชีวิตคุณได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับชีวิตของคุณมากเท่านั้น อย่าเป็นอย่างผมที่ กว่าจะรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ และกลับมาหาพระเจ้าได้ ก็ต้องผ่านความทุกข์ยากแสนสาหัส และผ่านประสบการณ์อุบัติเหตุรถแข่งคว่ำถึงสามครั้ง แต่ก็รอดตายมาได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า ถ้ามิใช่เพราะพระองค์ทรงให้โอกาสแก่ผมอีก ป่านนี้ผมจะไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้

ถึงผมจะเคยรับศีลบัพติสมาแบบเอาหน้ามาแล้วก็เถอะสองสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ก็คือ

-จงวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจของเจ้า นี่เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งยวด

-จงรักเพื่อนบ้านและรับใช้ผู้อื่น มิใช่แต่ตัวเอง

-การเป็นคนร่ำรวย หรือมั่งคั่ง ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะมันเป็นพระพรมาจากพระเจ้า แต่ปัญหาของมันก็คือ คนส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถควบคุมมันได้ ยิ่งเรามีมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นอีก ผมผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ยิ่งเราขุดหลุมลึกเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจมลงไปในหลุมมากขึ้นเท่านั้น มากจนเราไปกราบไหว้บูชาความมั่งคั่ง ยิ่งกว่ากราบนมัสการพระเจ้า เพราะมันเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ที่ยากจะแก้ได้

-ในฐานะที่เราทำวิชาชีพแพทย์และประกอบวิชาชีพส่วนตัว เรามักจะหลีกเลี่ยงการสร้างฐานะความมั่งคั่งให้กับตัวเองเมื่อมีโอกาสไม่ได้ แต่เราต้องจดจำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทรัพย์ สมบัติแท้จริงของเรา เราไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้า และเราต้องใช้ทรัพย์เหล่านี้เพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ใช่ขยายอาณาจักรของตัวเราเอง

-ผมเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า ความมั่งคั่งที่ปราศจากพระเจ้า มันคือความสูญเปล่า ดังนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าการแสวงหาความมั่งคั่งในวิชาชีพแพทย์ หรืออย่างอื่น คือ คุณจำเป็นต้องแสวงหาความมั่งคั่งในความไพบูลย์ของพระเจ้าก่อน นี่คือสิ่งที่ผมอยากมาแบ่งปันกับทุกคน ขอบคุณครับ

 เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อยสำหรับเช้าวันนี้ แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา

   อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่างให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย