Home »
สาระ ความรู้
»
เตรียมระวังครั้งยิ่งใหญ่!! “น้ำจะท่วมโลก” ใกล้หมดเวลา ของมนุษยชาติ เริ่มสะท้อนผลกระทบ แล้วจริงๆหรอ !! (รายละเอียด)
เตรียมระวังครั้งยิ่งใหญ่!! “น้ำจะท่วมโลก” ใกล้หมดเวลา ของมนุษยชาติ เริ่มสะท้อนผลกระทบ แล้วจริงๆหรอ !! (รายละเอียด)
เรียกได้ว่าตั้งแต่ในปี 2016 เราคนไทยคงรู้สึกตรงกันว่า
ฤดูหนาวครั้งที่ผ่านมานั้นสั้นกว่าทุกๆ ปี
อุณหภูมิที่สูงขึ้นในไทยสะท้อนสภาพอากาศที่ร้อนทั่วทั้งโลก
ทั้งภัยแล้งรุนแรงในแอฟริกา อากาศร้อนนานและมีท่าทีว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มสะท้อนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศชัดเจน
และใกล้ตัวเราทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ!
ภาวะโลกร้อนนี้เองได้สะท้อนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศชัดเจนและเห็นได้ชัด
ซึ่งรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของทวีปที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอย่างทวีปอาร์กติกและแอนตาร์กติกาอย่างเห็นได้ชัด
เช่น การ “ละลาย” ของ “แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกใต้” ส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งลาร์เซน
ซี (Larsen C) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกมา
แตกออกจากแผ่นหลัก จนหลายคนต่างตื่นตกใจว่า นี่อาจเป็น
สัญญาณเตือนน้ำจะท่วมโลก??
หิ้งน้ำแข็งขนาดยักษ์ ชื่อ Larsen C ส่วนหนึ่งที่แตกตัวออกมาของ Larsen C
ของน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาคือ
5,300 ตร.กม. ใหญ่กว่ากรุงเทพเกือบ 4 เท่า (กรุงเทพมีพื้นที่ 1,500 ตร.กม.)
นอกจากใหญ่แล้ว ยังหนาถึง 350 เมตร สูงกว่าตึกมหานคร
ตึกสูงที่สุดของประเทศไทย (ตึกสูง 314 เมตร) ใหญ่และหนาไม่พอ ยังหนักอึ้ง
น้ำหนัก 1 ล้านล้านตัน
นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ทำการบันทึกจากดาวเทียมสำรวจขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ
หรือนาซา (NASA) ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2017 ที่ผ่านมา
น้ำแข็งที่ปกคลุมทั่วอาร์กติก (พื้นที่ในบริเวณขั้วโลกเหนือ)
และทวีปแอนตาร์กติกา (ทวีปที่อยู่รอบขั้วโลกใต้)
เข้าสู่ขั้นละลายอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์
อีกทั้งได้รับข้อมูลสนับสนุนมาจากศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติ
(National Snow and Ice Data Center) ในโคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ซึ่งทำการสำรวจเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา
และพบว่าน้ำแข็งรอบแอนตาร์กติกามีระดับลดลงถึงขั้นต่ำสุดจากบันทึกของการสำรวจผ่านดาวเทียม
ส่วนสาเหตุสำคัญที่น้ำแข็งหายไปนั้น
เพราะโลกถูกบันทึกว่ามีสถิติความร้อนเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 3 ปี
และเพิ่มความกังวลใหม่ๆ
เกี่ยวกับการเกิดภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ซึ่งสิ่งที่เป็นกังวลเข้าขั้นวิกฤตคือ
ปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของมนุษย์
ที่มักปล่อยการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจากการผลิตพลังงานและการขนส่ง
ซึ่งตัวเชื้อเพลิงฟอสซิลนี้คือตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ
โดยปกติแล้วน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติกจะละลายในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน
หรือประมาณปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนกันยายน
และจะก่อตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว
หรือประมาณปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนมีนาคม
โดยแผ่นน้ำแข็งจะขยายตัวสูงสุดในรอบปีช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์กับเมษายน
และจากการสรุปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2017
พบว่าน้ำแข็งที่ปกคลุมนี้กลับถูกบันทึกได้ว่ากำลังลดต่ำลงที่สุดในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา
มีการคาดการณ์ว่าพื้นที่แผ่นน้ำแข็งของอาร์กติกจะมีปริมาณสูงสุดเพียง 5.57
ล้านตารางไมล์ หรือ 14.42 ล้านตารางกิโลเมตร
ซึ่งต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่เคยบันทึกไว้เมื่อเดือนมีนาคมปี 2016
นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ยังเผยว่าน้ำแข็งยังมีค่าเฉลี่ยลดลง 2.8%
ต่อ 1 ทศวรรษมาตั้งแต่ปี 1979 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มบันทึกสถิติ
หรือพูดง่ายๆ คือละลายลงมากที่สุดในรอบ 38 ปี
ขณะที่ตัวเลขของแอนตาร์กติกาในปีนี้ ระดับน้ำแข็งในทะเลในระยะ 815,000
ตารางไมล์ (2.11 ล้านตารางกิโลเมตร) เคยลดลงเหลือน้อยที่สุดอยู่ที่ 71,000
ตารางไมล์ (184,000 ตารางกิโลเมตร)
ซึ่งมีค่าต่ำกว่าการบันทึกข้อมูลของดาวเทียมที่วัดครั้งแรกในปี 1997
วอลต์ เมเออร์ (Walt Meier)
นักวิจัยของนาซาในส่วนงานวิจัยด้านทะเลน้ำแข็งจากศูนย์การบินอวกาศ Goddard
กล่าวว่า “มีน้ำในมหาสมุทรในปริมาณมาก
และเราเห็นช่วงเวลาของการเพิ่มขึ้นของน้ำแข็งที่ช้าในช่วงปลายเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน
นั่นเป็นเพราะมีปริมาณน้ำจำนวนมากที่ละลายจากการสะสมความร้อน
น้ำแข็งเริ่มก่อตัวช้าลงเรื่อยๆ”
“ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน (2016) เป็นต้นมา ปริมาณน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาอยู่ในระดับต่ำสุดจากบันทึกของดาวเทียม” นาซาเผย
“ทั้งในทะเลอาร์กติกและแอนตาร์กติกา มีความแปรปรวนมากในแต่ละปี
แต่โดยรวมแล้วจนถึงปีที่ผ่านมาอย่างแอนตาร์กติกามีปริมาณน้ำทะเลมากขึ้นทุกเดือน
เห็นได้ชัดจากปีที่แล้ว” แคลร์ พาร์กินสัน (Claire Parkinson)
นักวิจัยอาวุโสของนาซา Goddard กล่าว
อย่างไรก็ตาม
นักวิทยาศาสตร์ยังคงไม่แน่ใจว่าค่าต่ำสุดที่วัดได้ในแอนตาร์กติกานี้หมายความว่าอย่างไร
เพราะเชื่อว่าการยืนยันถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนั้นจำเป็นจะต้องมีข้อมูลจากหลายแหล่งมายืนยันพร้อมกัน