“โรคคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น” เช็คตัวเองและคนใกล้ตัวว่าเป็น หรือไม่

“โรคคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น” เช็คตัวเองและคนใกล้ตัวว่าเป็น หรือไม่

หลายคนคงเคยได้ยินมากันบ้างแล้วเกี่ยวกับโรค “Imposter Syndrome” เรียกได้ว่าเจ้าตัวนี้คือโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง คิดว่าตัวเองนั้นไร้ค่า แปลจากผลการวิจัยได้พบว่า คนส่วนใหญ่ที่มีอาการเหล่านี้ มักจะเป็นคนที่เก่งและทำงานให้ดีมากกว่าผู้อื่น

แต่ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปดูโลกแห่งความเป็นจริง ก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่มีอาการเหมือนเหรียญอีกด้านหนึ่งนั่นก็คือ Imposter ซึ่งหมายความว่าเป็นโรคที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือกว่าผู้อื่น

พวกเขาเหล่านี้มักจะคิดกลับกัน คิดว่าตัวเองนั้นเก่งและเหนือกว่าทุกคนไปซะหมด ซึ่งคนพวกนี้อาจจะตกอยู่ในอาการ “Superiority Complex” อยู่ก็ได้ สงสัยแล้วใช่ไหมว่าโรคนี้คืออะไร จะเกิดขึ้นกับตัวเราและคนรอบตัวหรือไม่ วันนี้เรามาทำความรู้จักไปพร้อมๆกัน

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอกับคนที่ประเภทว่า ชอบอวดว่าตัวเองเก่ง ชอบอวดร่ำอวดรวย คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่น โลกนี้ไม่มีใครเทียบเทียมฉันได้ เรามันคนละชั้นกัน

ยกตัวอย่างเช่น

– มักแสดงอาการหยิ่งยโสโอหังต่อผู้คนรอบข้าง บางคนแค่เดินผ่านก็รู้สึกได้ถึงพลังงานลบ

– มักพูดแต่เรื่องของตัวเองอยู่เสมอ เวลาอยู่ในวงสนทนากับใคร ไม่ว่าตอนนั้นจะพูดประเด็นอะไรอยู่ก็ตาม คนเหล่านั้นก็มักจะวกกลับเข้าเรื่องตัวเอง และพูดยกยอตัวเองให้คนอื่นได้ฟัง

– ชอบใช้คำพูดแรงๆ ไม่ถนอมน้ำใจคนอื่น แต่กลับคิดเองเออเองว่าการที่พูดแบบนั้น คือการเผยว่าตัวเองเป็นคนตรงๆ เฟียซๆ จริงใจ

– ชอบคิดว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น มองคนรอบข้างว่าต่างจากตัวเองไปซะหมด และถึงแม้จะมีคนมาพยายามเข้าหา ก็มักจะมีกรอบกำบังเอาไว้ เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูง แต่แค่คิดว่าตัวเองกับคนอื่นนั้นอยู่คนละชั้นกันต่างหาก

– หากมีใครมาพูดจาขัดใจ หรือทำอะไรให้ตัวเองไม่พอใจ พวกเค้ามักจะเลือกตอบโต้กลับแรงๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งคำพูดหรือทางกาย

– ในทุกครั้งที่มีการเปิดให้แสดงความคิดเห็น มันเป็นเรื่องปกติที่แต่ละคนอาจมีความคิดที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกันกับคนที่เป็นโรคนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเค้ามีความคิดต่างจากคนอื่น ก็มักจะคิดว่าตัวเองนั้นถูกเสมอ ความเห็นของตัวเองดีที่สุด จนบางครั้งก็ลืมให้เกียรติและเคารพผู้อื่น

– เมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวเองทำผิด ก็มักจะหาเหตุผลล้านแปดมากลบเกลื่อนความผิดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

– บางคนอาจแสดงอาการเหยียดออกมา หรือไม่ก็พูดจาเหยียดหยามคนอื่นแต่กลับบอกว่าตัวเองนั้นแค่พูดแสดงความคิดเห็น พูดตามความรู้สึกตัวเองเฉยๆ และอ้างเหตุผลว่า ก็เพราะชั้นเป็นคนตรงไปตรงมาไง เลยพูดออกมาได้ (จริงๆ ควรแยกให้ออกว่าอันไหนพูดตรง อันไหนไร้มารยาท)

– ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะมีความมั่นใจในตัวเองกับเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ เพราะมันแสดงว่าเรารู้จริงถึงได้พูดออกมา แต่กับบางคนที่มีอาการนี้มักพกความมั่นใจมาสูงมากและคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น และใช้ความมั่นแบบผิดๆ มากดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อให้ตัวเองดูสูงส่ง ดูฉลาดกว่าคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ฟังอยู่อาจจะรู้ดีกว่าก็ได้ แต่แค่ไม่พูดหรือแสดงอาการแย่ๆ แบบนี้แค่นั้นเอง

แค่ดูจากที่ยกตัวอย่างไปด้านบนแล้วก็รู้สึกปวดหัวแล้วใช่มั้ย ถ้าต้องเผชิญกับคนแบบนี้ทุกวัน ไม่แน่เราอาจจะ ป่ ว ย จิ ต ตามก็เป็นได้ เพราะเล่นปล่อยพลังงานลบใส่ขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราไม่สามารถแก้ไขหรือช่วยให้เค้าฉุกคิดได้ สิ่งที่เราควรทำ ไม่ใช่ตอกกลับแรงๆ ใส่ หรือว่าใช้วิธีการเดียวกับที่เค้าทำกับเรา เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้แย่ไปกว่าเดิม (และเราเองอาจจะกลายเป็นคนในแบบที่เราไม่ชอบ) ซึ่งสิ่งที่เราควรทำคือ เรียนรู้ในสิ่งที่เค้าทำและพยายามเข้าใจในสิ่งที่เค้าเป็น และพยายามไม่นำความรู้สึกแย่ๆ ที่เค้าเผยแพร่มาใส่ใจมากนัก เพราะกว่าที่เค้าจะถูกหล่อหลอมให้เป็นแบบนี้ เชื่อเถอะว่าแต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปจนทำให้เค้ามีอาการนี้ ทั้งพื้นฐานครอบครัว สังคมที่เค้าอยู่ เหตุการณ์ที่เค้าเจอ ล้วนแล้วมีส่วนทั้งหมด

บางคนอาจจะถูกพ่อแม่เลี้ยงแบบตามใจ ถูกสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก พอเติบโตมาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่สปอยล์ตัวเองต่อ หรือบางคนอาจเคยเจอเหตุการณ์กระทบแรงๆ ที่กระทบกระทั่งอารมณ์และจิตใจ อาจโดนดูถูก เหยียดหยามหรือโดนด่าด้วยด้วยคำพูดแรงๆ ตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็เก็บมาเป็นปมและทำให้เป็นคนมีปัญหาทางอารมณ์แบบนี้ หรือถ้ามองอีกด้านพวกเค้าอาจจะเคยคิดว่าตัวเองนั้นไม่ดีพอ คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความสำคัญ และด้วยความต้องการมีตัวตนและอยากได้รับการยอมรับจากอื่น จึงพยายามชดเชยความรู้สึกขาดเหล่านั้นให้กับตัวเอง แต่กลับชดเชยจนมากเกินไปจนทำให้มีพฤติกรรมแบบนี้ เป็นต้น

อย่างที่บอกไปว่าในแต่ละวันเราอาจจะเจอคนรอบข้างที่เป็น Superiority Complex ซึ่งบางทีก็ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร หรือความจริงแล้วเป็นเราเองนี่แหละที่ตกอยู่ในอาการนี้และเผลอไปทำแย่ๆ ใส่คนอื่นแบบไม่รู้ตัว แต่ถ้าตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองอาจเข้าข่าย ก็ลองค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง จริงอยู่ที่การเป็นตัวของตัวเองมันเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันไม่ได้ดีเลย ก็เปลี่ยนซะบ้างค่ะ

ที่มา liekr