ในยุคปัจจุบันนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้นิสัยใจคอ
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงเสื้อผ้าหน้าผมอย่างเดียวเท่านั้น
ยังหมายถึงท่าทางหรือท่วงท่าการเดินอีกด้วย
ดังนั้นการดูแลท่าทางและลักษณะที่เหมาะสมของร่างกายจึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง
เพราะเมื่อคุณมีท่วงท่าการเดิน
หรือการนั่งที่ดีและสง่างามนั้นจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหาร
เสริมสมรรถภาพร่างกาย เช่น การขยายปอดให้หายใจได้ดียิ่งขึ้น
ลดระดับความเครียด ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และช่วยจิตใจมีสมาธิมากขึ้น
ในทางกลับกัน ถ้าท่วงท่าร่างกายของคุณอยู่ในลักษณะที่ไม่ดี ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการปวดหลัง ระบบไหลเวียนโลหิตย่ำแย่ และความอึดอัดภายในทรวงอก เป็นต้น
ดังนั้น คุณจึงควรที่จะรักษาและดูแลเพื่อให้ร่างกายมีท่าทางทีเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง คอ และไหล่ ด้วยวิธีการบริหารร่างกายที่ง่ายดายอย่างการบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หลายชิ้น และยังสามารถทำได้ที่บ้าน สำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวอีกด้วยค่ะ
สำหรับท่าออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้มีชื่อว่า ท่าตั๊กแตน (Locust pose) หรือท่าศลาภะอาสนะ (shalabhasana) ในวงการโยคะ เป็นท่าที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และยังให้ผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ แต่สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังก็ควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านโยคะ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อก่อนเป็นอันดับแรกนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
อันดับแรก เริ่มต้นจากท่านอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น และให้หน้าผากสัมผัสกับพื้น เหยียดขาทั้งสองข้างให้ตึง และแยกขาออกให้ขนานกับสะโพก พยายามถ่ายน้ำหนักตัวของคุณไปที่เท้าทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียมกัน จากนั้นค่อยๆ ยกร่างกายส่วนบนให้สูงขึ้นจากพื้นเท่าที่จะทำได้ และยกหัวขึ้นสูงเป็นลำดับต่อมา ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า ควรจัดท่าทางของมือและแขนทั้งสองข้างให้อยู่ใกล้ลำตัวโดยคว่ำฝ่ามือลงขนานกับพื้น
ลำดับต่อมา ให้เพื่อนๆ ยกขาขึ้นโดยเน้นที่กล้ามเนื้อบริเวณต้นขาเป็นหลัก และพยายามรักษาน้ำหนักบริเวณซี่โครง กระดูกเชิงกราน และช่องท้อง เป็นเวลา 10-60 วินาที โดยทำซ้ำเช่นนี้ได้ถึง 5-10 ครั้ง
ด้วยการออกกำลังกายด้วยท่าตั๊กแตนเป็นประจำก็จะช่วยให้แผ่นหลังของคุณไม่คดงอ ท่วงท่าของการเดินและการนั่งดูมีสง่าราศี และยังช่วยเสริมกล้ามเนื้อบริเวณขา ลำตัว และหลังให้แข็งแรงอีกด้วย หากเพื่อนๆ ยังรู้สึกงงๆ กับการบริหารร่างกายด้วยท่าตั๊กแตนนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้เราก็ได้นำคลิปวิดีโอมาฝากกันเพื่อให้เพื่อนๆ สามารถออกกำลังกายได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายให้มากที่สุดนั่นเอง
Sources: www.healthyfoodhouse.com
www.dailyhealthpost.com
www.youtube.com
ในทางกลับกัน ถ้าท่วงท่าร่างกายของคุณอยู่ในลักษณะที่ไม่ดี ก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการปวดหลัง ระบบไหลเวียนโลหิตย่ำแย่ และความอึดอัดภายในทรวงอก เป็นต้น
ดังนั้น คุณจึงควรที่จะรักษาและดูแลเพื่อให้ร่างกายมีท่าทางทีเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง คอ และไหล่ ด้วยวิธีการบริหารร่างกายที่ง่ายดายอย่างการบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หลายชิ้น และยังสามารถทำได้ที่บ้าน สำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวอีกด้วยค่ะ
สำหรับท่าออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้มีชื่อว่า ท่าตั๊กแตน (Locust pose) หรือท่าศลาภะอาสนะ (shalabhasana) ในวงการโยคะ เป็นท่าที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และยังให้ผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ แต่สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังก็ควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านโยคะ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อก่อนเป็นอันดับแรกนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
อันดับแรก เริ่มต้นจากท่านอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น และให้หน้าผากสัมผัสกับพื้น เหยียดขาทั้งสองข้างให้ตึง และแยกขาออกให้ขนานกับสะโพก พยายามถ่ายน้ำหนักตัวของคุณไปที่เท้าทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียมกัน จากนั้นค่อยๆ ยกร่างกายส่วนบนให้สูงขึ้นจากพื้นเท่าที่จะทำได้ และยกหัวขึ้นสูงเป็นลำดับต่อมา ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า ควรจัดท่าทางของมือและแขนทั้งสองข้างให้อยู่ใกล้ลำตัวโดยคว่ำฝ่ามือลงขนานกับพื้น
ลำดับต่อมา ให้เพื่อนๆ ยกขาขึ้นโดยเน้นที่กล้ามเนื้อบริเวณต้นขาเป็นหลัก และพยายามรักษาน้ำหนักบริเวณซี่โครง กระดูกเชิงกราน และช่องท้อง เป็นเวลา 10-60 วินาที โดยทำซ้ำเช่นนี้ได้ถึง 5-10 ครั้ง
ด้วยการออกกำลังกายด้วยท่าตั๊กแตนเป็นประจำก็จะช่วยให้แผ่นหลังของคุณไม่คดงอ ท่วงท่าของการเดินและการนั่งดูมีสง่าราศี และยังช่วยเสริมกล้ามเนื้อบริเวณขา ลำตัว และหลังให้แข็งแรงอีกด้วย หากเพื่อนๆ ยังรู้สึกงงๆ กับการบริหารร่างกายด้วยท่าตั๊กแตนนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้เราก็ได้นำคลิปวิดีโอมาฝากกันเพื่อให้เพื่อนๆ สามารถออกกำลังกายได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายให้มากที่สุดนั่นเอง
Sources: www.healthyfoodhouse.com
www.dailyhealthpost.com
www.youtube.com