โรคเบาหวาน แม้รักษาไม่หายขาด แต่ถ้ารู้หลักในการเลือกรับประทานอาหาร รับรองได้เลยว่ารับมือกับอาการเบาหวานได้แบบสบาย ๆ
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากไม่สามารถควบคุมได้ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ทำให้อ่อนเพลีย กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย ปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว หรือในกรณีที่ร้ายแรงก็อาจจะถึงขั้นช็อกได้ โดยปัจจัยที่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลนอกจากการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องแล้ว อาหาร ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง แต่ผู้ป่วยเบาหวานบางคนมักจะละเลยในเรื่องของอาหารการกิน คิดว่าเมื่อได้กินยาแล้ว คงหายเหมือนกับโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะการใช้ยารักษาเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ดังนั้นการควบคุมอาหารและรู้จักเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ในปริมาณที่ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกาย ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวานได้ อย่างเช่นที่ สสส. จะพาเราไปดูหลักในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าควบคุมได้ตามนี้ละก็ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อยู่หมัดอย่างแน่นอน
นพ.ประสิทธิ์ ลีวัฒนภัทร ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ได้เล่าถึงอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ภายในงาน "เปลี่ยนเบาหวาน ให้เป็นเบาหวิว" ในโครงการ
SOOK Activity โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ไว้ว่า หัวใจสำคัญของการควบคุมเบาหวาน คือ
การกินอาหารให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย โดยไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
เพราะการกินที่มากเกินจะทำให้น้ำตาลขึ้นสูงหรือขึ้นเร็ว
ในขณะเดียวกันหากกินน้อยไป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้
คุณหมอประสิทธิ์ บอกอีกว่า ความจริงแล้วหลักการกินอาหารสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ไม่ได้แตกต่างจากหลักการกิน เพื่อให้มีสุขภาพดีของคนทั่วไป เป็นการกินอาหารให้ครบหมู่ ถูกสัดส่วน ในปริมาณพอเหมาะ และมีความหลากหลาย
โดยอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานแบ่งง่าย ๆ เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. อาหารที่ "ไม่ควร" รับประทาน
- น้ำตาลทุกชนิด เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลก้อน น้ำผึ้ง เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม เช่น น้ำเก๊กฮวย น้ำลำไย ชาเขียว น้ำอัดลม ชา กาแฟปรุงสำเร็จ และขนมหวานต่าง ๆ เค้ก คุกกี้ โดนัท
- ผลิตภัณฑ์นม ได้แก่ นมข้นหวาน นมปรุงแต่งรสหวาน โยเกิร์ตปรุงแต่งรสชาติ นมเปรี้ยว
- ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้เชื่อม ผลไม้ตากแห้ง เช่น กล้วยตาก ลูกเกด ลูกพลับ ลูกพรุน อินทผลัมตากแห้ง รวมถึงผลไม้ในน้ำเชื่อมบรรจุกระป๋อง
- อาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ ไส้กรอก หมูสามชั้น น้ำมันมะพร้าว แกงกะทิ ไขมันนม เนย ครีม
เนื่องจากอาหารเหล่านี้ มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเป็นอันตรายจึงควรหลีกเลี่ยง
2. อาหารที่รับประทานได้ "ไม่จำกัดปริมาณ"
ผักก้าน ผักใบ ผักใบเขียวทุกชนิด ควรรับประทานทุกวัน และทุกมื้อให้หลากหลายชนิดในหนึ่งวัน อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่แคลอรีต่ำ และมีใยอาหารสูง ทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง อีกทั้งใยอาหารยังช่วยดูดซับน้ำตาล ไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้ร่างกายสามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้พอดี ได้แก่ ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ตำลึง บวบ มะเขือ ฟัก แตงกวา น้ำเต้า ถั่วฝักยาว ถั่วงอก เป็นต้น จะรับประทานในรูปของผักสด หรือผักต้มก็ได้ แต่ไม่แนะนำในรูปของน้ำผักปั่น โดยเฉพาะน้ำผักปั่นแยกกาก ทำให้เราได้รับใยอาหารไม่ได้มากเท่าที่ควร
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้กำหนดให้บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณ 4-6 ทัพพี แต่หากเป็นผักต้มสุกจะต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า ขณะที่ สสส. ได้เผยผลวิจัยพบว่า การกินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 33 และโรคมะเร็งได้ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับคนที่กินผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์
3. อาหารที่รับประทานได้ แต่ต้อง "จำกัดปริมาณ"
อาหารประเภทข้าว แป้ง : เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ฯลฯ อาหารเหล่านี้มีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าน้ำตาล และมีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย โดยอาหารจำพวกแป้งจะถูกย่อยเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาล และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ผู้เป็นโรคเบาหวานจึงไม่ควรงดหรือจำกัดจนเกินไป ควรได้รับให้เหมาะสมกับแรงงานและกิจกรรมที่ทำ การจำกัดข้าวหรือแป้งมากเกินไปกลับเป็นผลเสีย เพราะระดับน้ำตาลในเลือดอาจต่ำ เกิดอาการหิว ส่งผลให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
ผลไม้ : ผลไม้แต่ละชนิดจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตแตกต่างกัน ซึ่งคาร์โบไฮเดรตในผลไม้อยู่ในรูปแบบของน้ำตาล โดยผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลมาก เช่น ทุเรียนมีน้ำตาลประมาณ 30-35% ส้มมีน้ำตาลประมาณ 10% และมะขามหวาน มีน้ำตาลมากถึง 75-80% ซึ่งผลไม้ยิ่งหวานมาก ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ลำไย ทุเรียน มะม่วงสุก องุ่น เป็นต้น
ถึงแม้ว่าผลไม้จะมีน้ำตาล แต่ก็ยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงไม่ควรงด แต่ควรกินตามปริมาณที่กำหนด โดยแนะนำว่าสามารถกินได้วันละ 2-3 มื้อ ในปริมาณ 7-8 ชิ้น คำ/มื้อ
การจะควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่หมัด จำเป็นต้องลดทั้งหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลทั้งหมดนี้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นสิ่งสำคัญที่จะดูแลสุขภาพของเราได้อย่างยั่งยืน
แม้โรคเบาหวานจะเป็นโรคที่อันตรายแต่ถ้าผู้ป่วยหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากไม่สามารถควบคุมได้ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ทำให้อ่อนเพลีย กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย ปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว หรือในกรณีที่ร้ายแรงก็อาจจะถึงขั้นช็อกได้ โดยปัจจัยที่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลนอกจากการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องแล้ว อาหาร ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง แต่ผู้ป่วยเบาหวานบางคนมักจะละเลยในเรื่องของอาหารการกิน คิดว่าเมื่อได้กินยาแล้ว คงหายเหมือนกับโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะการใช้ยารักษาเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ดังนั้นการควบคุมอาหารและรู้จักเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ในปริมาณที่ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกาย ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวานได้ อย่างเช่นที่ สสส. จะพาเราไปดูหลักในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าควบคุมได้ตามนี้ละก็ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อยู่หมัดอย่างแน่นอน
คุณหมอประสิทธิ์ บอกอีกว่า ความจริงแล้วหลักการกินอาหารสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ไม่ได้แตกต่างจากหลักการกิน เพื่อให้มีสุขภาพดีของคนทั่วไป เป็นการกินอาหารให้ครบหมู่ ถูกสัดส่วน ในปริมาณพอเหมาะ และมีความหลากหลาย
โดยอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานแบ่งง่าย ๆ เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. อาหารที่ "ไม่ควร" รับประทาน
- น้ำตาลทุกชนิด เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลก้อน น้ำผึ้ง เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม เช่น น้ำเก๊กฮวย น้ำลำไย ชาเขียว น้ำอัดลม ชา กาแฟปรุงสำเร็จ และขนมหวานต่าง ๆ เค้ก คุกกี้ โดนัท
- ผลิตภัณฑ์นม ได้แก่ นมข้นหวาน นมปรุงแต่งรสหวาน โยเกิร์ตปรุงแต่งรสชาติ นมเปรี้ยว
- ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้เชื่อม ผลไม้ตากแห้ง เช่น กล้วยตาก ลูกเกด ลูกพลับ ลูกพรุน อินทผลัมตากแห้ง รวมถึงผลไม้ในน้ำเชื่อมบรรจุกระป๋อง
- อาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ ไส้กรอก หมูสามชั้น น้ำมันมะพร้าว แกงกะทิ ไขมันนม เนย ครีม
เนื่องจากอาหารเหล่านี้ มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเป็นอันตรายจึงควรหลีกเลี่ยง
2. อาหารที่รับประทานได้ "ไม่จำกัดปริมาณ"
ผักก้าน ผักใบ ผักใบเขียวทุกชนิด ควรรับประทานทุกวัน และทุกมื้อให้หลากหลายชนิดในหนึ่งวัน อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่แคลอรีต่ำ และมีใยอาหารสูง ทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง อีกทั้งใยอาหารยังช่วยดูดซับน้ำตาล ไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้ร่างกายสามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้พอดี ได้แก่ ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ตำลึง บวบ มะเขือ ฟัก แตงกวา น้ำเต้า ถั่วฝักยาว ถั่วงอก เป็นต้น จะรับประทานในรูปของผักสด หรือผักต้มก็ได้ แต่ไม่แนะนำในรูปของน้ำผักปั่น โดยเฉพาะน้ำผักปั่นแยกกาก ทำให้เราได้รับใยอาหารไม่ได้มากเท่าที่ควร
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้กำหนดให้บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณ 4-6 ทัพพี แต่หากเป็นผักต้มสุกจะต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า ขณะที่ สสส. ได้เผยผลวิจัยพบว่า การกินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 33 และโรคมะเร็งได้ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับคนที่กินผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์
3. อาหารที่รับประทานได้ แต่ต้อง "จำกัดปริมาณ"
อาหารประเภทข้าว แป้ง : เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ฯลฯ อาหารเหล่านี้มีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าน้ำตาล และมีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย โดยอาหารจำพวกแป้งจะถูกย่อยเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาล และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ผู้เป็นโรคเบาหวานจึงไม่ควรงดหรือจำกัดจนเกินไป ควรได้รับให้เหมาะสมกับแรงงานและกิจกรรมที่ทำ การจำกัดข้าวหรือแป้งมากเกินไปกลับเป็นผลเสีย เพราะระดับน้ำตาลในเลือดอาจต่ำ เกิดอาการหิว ส่งผลให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
ผลไม้ : ผลไม้แต่ละชนิดจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตแตกต่างกัน ซึ่งคาร์โบไฮเดรตในผลไม้อยู่ในรูปแบบของน้ำตาล โดยผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลมาก เช่น ทุเรียนมีน้ำตาลประมาณ 30-35% ส้มมีน้ำตาลประมาณ 10% และมะขามหวาน มีน้ำตาลมากถึง 75-80% ซึ่งผลไม้ยิ่งหวานมาก ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ลำไย ทุเรียน มะม่วงสุก องุ่น เป็นต้น
ถึงแม้ว่าผลไม้จะมีน้ำตาล แต่ก็ยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงไม่ควรงด แต่ควรกินตามปริมาณที่กำหนด โดยแนะนำว่าสามารถกินได้วันละ 2-3 มื้อ ในปริมาณ 7-8 ชิ้น คำ/มื้อ
การจะควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่หมัด จำเป็นต้องลดทั้งหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลทั้งหมดนี้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นสิ่งสำคัญที่จะดูแลสุขภาพของเราได้อย่างยั่งยืน
แม้โรคเบาหวานจะเป็นโรคที่อันตรายแต่ถ้าผู้ป่วยหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก