เทคนิคหน้าใสแต่ละช่วงวัย

 

เมื่อหยุดยั้งกาลเวลาไว้ไม่ได้ ทุกข์ใจไปก็เท่านั้น มาสวยสมวัยด้วยเทคนิคการดูแลผิวหน้าที่นำมาฝากกันดีกว่าค่ะ

          ผิววัยรุ่น (13-19 ปี)

          เป็นวัยที่เพิ่งผ่านพ้นจากวัยเด็กมาไม่นาน เป็นวัยที่เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการเกิดใหม่มาทดแทนเซลล์เก่าอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ผิวจึงดูเปล่งปลั่งสดใส ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพียงดูแลผิวให้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพผิว สิ่งที่จำเป็นต้องรู้จึงหนีไม่พ้นเรื่องชนิดของผิว ว่ามีผิวแบบไหน ผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวผสม เพื่อที่จะได้ดูแล และใช้ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นชุดทำความสะอาดผิว หรือ ชุดบำรุงผิวได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพผิว และควรดื่มน้ำมาก ๆ ในแต่ละวัน

          นอกเหนือจากนี้ที่สำคัญมากๆก็คือ อยู่ให้ห่างจากแสงแดด ควรทากันแดดทุกครั้งที่ออกแดด ส่วนปัญหาผิวที่พบได้บ่อยที่สุดในวัยนี้คือ สิว ซึ่งก็แก้ไขได้ไม่ยาก เริ่มตั้งแต่การล้างหน้า ซึ่งวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคสิว คือส่วนใหญ่เชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรก  เมื่อเป็นสิวจึงโหมล้างหน้าวันละหลายครั้ง ที่จริงแล้วการทำความสะอาดผิวมากเกินไปกลับทำให้สิว และสภาพผิวเลวลง  เพราะจะทำให้ขบวนการสร้างเคอราตินของเซลล์ผิวหนังไม่เกิดตามปกติ 

          การทำความสะอาดผิวหน้าจึงควรทำเฉพาะในเวลาเช้า และเย็น ในเวลาเช้า -โดยเฉพาะในคนที่ทายารักษาสิวเพื่อล้างเศษยาที่หลงเหลืออยู่ออก เพราะยาทารักษาสิวที่ทาก่อนนอน (คือ  กรดวิตามินเอ)  ทำให้ผิวไวต่อแสง และเวลาเย็น– เพื่อล้างครีมกันแดด และเมคอัพ และล้างหน้าหลังทำกิจกรรมที่ร้อน มีเหงื่อออกมาก นอกจากนี้ยังมีทั้งยาทา, ยากินเพื่อรักษาสิว

          ส่วนข้อห้ามสำหรับคนเป็นสิวคือห้ามบีบสิวเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดแผลเป็นซึ่งรักษายาก อย่างไรก็ตามถ้าเราใช้ยาเพียงอย่างเดียวในการรักษาสิว อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ถ้าต้องการเห็นผลการรักษาเร็วขึ้นก็ มีวิธีการรักษาเสริม ได้แก่ การกดสิว, ฉีดสิว, การทำไอออนโตหรือโฟโน เพื่อผลักตัวยารักษาสิวให้ดูดซึมได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการรักษาที่นอกจากจะช่วยเรื่องสิวแล้ว ยังช่วยให้หน้าใส ลดจุดด่างดำและแผลเป็น ส่วนบางคนที่สิวหายแล้วยังทิ้งรอยแดงหลงเหลืออยู่ ก็มีการรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อให้รอยจางลงเร็วขึ้น

          ผิววัยผู้ใหญ่ตอนต้น (20-29 ปี)

          ปัญหาเรื่องสิวจะลดน้อยลง ยกเว้นในคนที่ผิวมัน ที่อาจมีเม็ดสิวเป้ง ๆ ให้รำคาญใจได้ หรือคนที่มีฮอร์โมนเพศสูง ก็อาจมีสิวโผล่อยู่เรื่อย ๆ ส่วนความแข็งแรงของร่างกายและความเปล่งปลั่งของผิวยังคงเต็มร้อยไปจนถึงอายุ ประมาณ 25 ปี จึงเริ่มถดถอย เริ่มมีการปรากฏตัวของริ้วรอย เริ่มมีริ้วรอยบางๆ รอบดวงตาให้เห็น ผิวเริ่มขาดความตึงกระชับ ช่วงปลายของวัย 20 ผิวอาจไม่เนียนอย่างที่เคยเนื่องจากการผลิตเซลล์ผิวใหม่ที่เคยอยู่ในรอบ 28 วัน เริ่มจะทำงานช้าลงไปเล็กน้อย นอกจากนี้ไขมันภายใต้ผิวก็จะค่อยๆ ลดลงส่งผลให้สิ่งปกป้องผิวต่างๆลดลง ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

          กิจวัตรในการที่จะดูแลผิวที่ต้องไม่ละเลยก็คือ การให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ถึงแม้ว่าผิวจะยังมีความเปล่งปลั่งตามธรรมชาติอยู่มากก็ตาม ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าสดใส เปล่งปลั่งมากขึ้น และต้องไม่ลืมทาครีมป้องกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพราะแสงแดด จะทำให้ริ้วรอยมาเยือนผิวได้เร็วขึ้น ในวัยนี้ควรเริ่มใช้อายครีมได้แล้วเพื่อปกป้องการเกิดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ร่วมกับการผลัดเซลล์ผิว (Microdermabrasion) เป็นประจำทุก 4 สัปดาห์ เพื่อจะช่วยกำจัดเซลล์เก่าและกระตุ้นผิวใหม่ให้เผยตัวออกมา

          ผิววัยผู้ใหญ่ (30-39 ปี)

          ในช่วงวัย 30 อาจจะต้องมีการดูแลผิวมากขึ้น ผิวพรรณเริ่มขาดความชุ่มชื้นและไม่เปล่งปลั่งสดใสเหมือนเดิม ส่วนใหญ่พบว่าผิวเริ่มแห้ง มีริ้วรอยปรากฏบริเวณหางตา มีปัญหาจุดด่างดำจากกระหรือฝ้าเพิ่มมากขึ้น วิธีถนอมผิวช่วงวัยนี้คือ การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีเนื้อครีมเข้มข้นขึ้น และทาครีมบำรุงผิวเฉพาะส่วนมากขึ้น เช่น ครีมบำรุงผิวรอบดวงตา และควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต่อต้านริ้วรอยและกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิว เพื่อเรียกความสดใสของผิวที่หายไป อาจเลือกครีมที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, เรตินอลหรือเซรั่มวิตามินซีบริสุทธิ์ นอกจากนี้ขอแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะจะทำร้ายผิวให้ดูแก่ก่อนวัย รวมถึงการทำใจไม่ให้เครียดหรือหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย ในวัยนี้ผิวจะเริ่มเหี่ยวย่น มีฝ้า มีกระ หลายคนจึงหันมาใช้เครื่องสำอาง หากไม่ศึกษาวิธีใช้ให้ดีพอ หรือใช้เครื่องสำอางมากเกินไปอาจเกิดผื่นแพ้เครื่องสำอาง หรือเกิดสิวจากเครื่องสำอางได้

          นอกจากนี้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เราอาจต้องช่วยให้ผิวมีการผลัดเซลล์ กำจัดเซลล์เก่าไป และเผยผิวใหม่ เพราะการผลัดเซลล์เองตามธรรมชาติไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อวัย 20 ต้นๆ อีกแล้ว เมื่อไม่มีการผลัดเซลล์ใหม่ เซลล์ที่เสื่อมสภาพห่อหุ้มผิวเราอยู่ ผิวหน้าก็จะดูหมองๆ ไม่สดใส ไม่เรียบเนียนเหมือนช่วง 20 ต้นๆ การมาผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 2 อาทิตย์จึงช่วยได้มาก จะช่วยกระตุ้นให้เกิดเซลล์ใหม่ และผิวพรรณดูสดใส เปล่งประกาย การผลัดเซลล์ผิวก็มีหลากหลายวิธี เช่น การผลัดเซลล์ด้วยเกร็ดอัญมณี (microdermabrasion), การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ เป็นต้น พอย่างเข้าสู่ช่วงวัย 35 ขึ้นไป จะพบว่าเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ รูขุมขนใหญ่ขึ้น ในช่วงเวลานี้จึงควรมีการดูแลด้วยการทำเลเซอร์บ้าง เพื่อกำจัดคอลลเจนที่เสื่อมสภาพและกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทรีทเมนท์ในกลุ่มนี้ก็เช่น IPL+ Radiofrequency (RF) เป็นต้น แต่ที่สำคัญและได้ผลมากที่สุดยังคงเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดค่า SPF สูงๆ ในทุกวัน

          ผิววัยกลางคน (40-49 ปี)

          เป็นช่วงวัยที่ผู้หญิงสูญเสียความมั่นใจและกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิวพรรณมาก ที่สุด เนื่องจากไขมันหล่อเลี้ยงใต้ชั้นผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นลง ทำให้ผิวไม่อิ่มเอิบ ทำให้เห็นริ้วรอยหรือจุดบกพร่องชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หญิงช่วงอายุนี้เริ่มเข้าสู่วัยทอง ทำให้ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลทำให้ผิวแห้ง และแพ้ง่ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการดูแลผิวในวัยนี้ที่ขาดไม่ได้เลย คือการใช้ผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอยควบคู่กับมอยส์เจอไรเซอร์ความชุ่มชื่นสูง และครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน  ร่วมกับการทำทรีทเมนต์เลเซอร์ที่ลงลึก ที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิว ตลอดจนอาจมีการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler ) และโบท๊อกซ์ เพื่อช่วยแก้ไขเรื่องริ้วรอยต่างๆที่ปรากฏชัดขึ้น

          ผิวผู้สูงวัย (50 ปีเป็นต้นไป)

          ในวัยนี้ต่อมไขมันเริ่มทำงานน้อยลง จึงเกิดผิวแห้งได้หากคุณเป็นคนไม่ใส่ในการบำรุงและดูแลสุขภาพผิวพรรณมาก่อน สภาพผิวหน้าหย่อนคล้อยและริ้วรอยร่องลึกก็จะแสดงปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน อาจใช้เครื่องสำอางในการปกปิดจุดบกพร่อง นอกจากนี้เพื่อชะลอความแก่ยังมีการดูแลจำเพาะ ได้แก่ การป้องกันผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากแสงแดด โดยใช้ยากันแดดที่มีประสิทธิภาพดี ใช้เสื้อผ้าปกปิดผิวหนัง หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแดดจัด การทาครีมกลุ่มกรดวิตามินเอ ครีมตัวนี้จัดเป็นยาช่วยทำให้ผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดดดีขึ้นทั้งในแง่ ความหยาบ รอยย่น และผิวกระดำกระด่าง แต่ต้องใช้ระยะเวลานาน 10-12 เดือนขึ้นไป การทากรดผลไม้ ช่วยให้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหลุดลอกทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้น ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นๆ จุดกระดำกระด่าง และลดความแห้งกร้านของผิวหนัง ปัจจุบันมีการใช้กรดผลไม้อยู่ 2 แบบ คือ ถ้าความเข้มข้นต่ำ เช่น 4-8% อาจใช้ทาเองที่บ้านได้ แต่ถ้าความเข้มข้นสูง เช่น 30-70% ต้องให้แพทย์เป็นคนทาให้ โดยทาทิ้งไว้ในช่วงเวลาสั้นๆ นับเป็นนาที ทุก 1–2 สัปดาห์

          นอกจากนี้ ก็ยังมีการรักษาริ้วรอยร่องลึกโดยการฉีดโบท๊อกซ์ เพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อบนใบหน้ามากเกินไป เช่น บริเวณตีนกา หว่างคิ้ว หรือหน้าผาก ผลการรักษาอยู่ได้ 4-6 เดือน การฉีดสารเติมเต็ม ( Filler ) เพื่อลดริ้วรอยร่องลึก เช่น บริเวณร่องแก้ม และการใช้เลเซอร์ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

          นอกจากนี้ปัญหากรอบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งเกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวในชั้นลึก จะสังเกตเห็นว่า กรอบหน้า คางกับคอเริ่มไม่มี หางตาตก แก้มคล้อยลง การหย่อนคล้อยในลักษณะนี้ เกิดจากโครงสร้างในชั้นผิวหนังลึกเริ่มหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องลงไปแก้ในชั้นผิวนี้ ซึ่งการแก้ไข ก็จำเป็นต้องเข้าใจถึงความสลับซับซ้อนของโครงสร้างในชั้นผิวหนังและเลือก เครื่องมือให้เหมาะสมกับปัญหา ถ้าแก้ไขที่ชั้นคอลลาเจน เพื่อให้เกิดการหดกระชับขึ้นของคอลลาเจน ก็จะใช้เทคโนโลยี เทอร์มาจ แต่ถ้าเป็นการแก้ไขที่ชั้นพังผืดกล้ามเนื้อที่ยึดคอลลเจน ซึ่งในอดีตทำได้ด้วยเพียงการผ่าตัดเท่านั้น ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า อัลเธอรา ที่ลงไปได้ลึกที่สุดเท่าที่เครื่องมือจะลงไปได้ โดยส่งพลังงานในลักษณะเป็นจุดๆ ถี่ๆ เพื่อลงไปทำให้ชั้นที่ยึดคอลลาเจนนี้ได้หดกระชับขึ้น ในการแก้ปัญหาเรื่องรูปหน้านี้ ในทางปฏิบัติ เราสามารถผสมผสานการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น อาจจะมีการทำ อัลเธอรา เพื่อยกกระชับผิว และฉีดโบท๊อกซ์เพื่อลดริ้วรอยไปด้วย เป็นต้น 

          ถ้าพร้อมจะสวยสมวัยแล้วล่ะก็...ลองหยิบเทคนิคที่นำมาฝากไปปฏิบัติกันดูนะคะ



ที่มาข้อมูล ศูนย์ผิวหนัง รพ.ยันฮี