สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ เตือนโรคปลายประสาทอักเสบ
มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ชาที่แขนและขา ปลายมือ ปลายเท้า
เสียการทรงตัวหรือเดินเซ หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์
เพื่อรักษาอย่างทันท่วงที
ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและมีโอกาสกลับมาเป็นปกติ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคปลายประสาทอักเสบ เป็นกลุ่มอาการของเส้นประสาทซึ่งทําหน้าที่นําคําสั่งจากสมองและไขสันหลังไปยังอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงทําหน้าที่รับความรู้สึกจากอวัยวะต่างๆ กลับไปยังสมอง
เส้นประสาทสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ประสาทรับความรู้สึกซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมต่อ สมอง และไขสันหลังกับผิวหนัง หรืออวัยวะภายใน
2. เส้นประสาทสั่งการหรือนําคําสั่ง ซึ่งเป็นประสาทที่เชื่อมต่อสมองและไขสันหลังกับกล้ามเนื้อ
3. ระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งเป็นประสาทที่เชื่อมต่อสมองและไขสันหลังกับอวัยวะภายใน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบ จะมีอาการชา หรือความรู้สึกลดลงที่บริเวณปลายมือและเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เสียการทรงตัวหรือเดินเซ เนื่องจากการรับความรู้สึกที่เท้าผิดปกติ ความดันโลหิตลดลงต่ำ ท้องผูกหรือท้องเสีย อาหารย่อยยาก เหงื่อออกมากกว่าปกติ ซึ่งอาการดังกล่าว มักเป็นตลอดเวลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค
นายแพทย์นฤพัชร สวนประเสริฐ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรมประสาท สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า
สาเหตุที่พบของโรคปลายประสาทอักเสบ ได้แก่ โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุอื่นที่พบรองลงมา ได้แก่ การกดทับของเส้นประสาทจากการใส่เฝือก หรือใช้ไม้ค้ำ หรือการใช้งานข้อมือซ้ำ ๆ โรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ โรค SLE โรคปลอกประสาทอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดอักเสบ นอกจากนี้ยังพบโรคของความผิดปกติทางพันธุกรรม
การติดเชื้อไวรัส เช่น เชื้อHIV การได้รับสารพิษต่างๆ การขาดวิตามิน เช่น วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 เนื้องอกและมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไต โรคตับ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ สำหรับการวินิจฉัยและรักษา แพทย์จะดูจากประวัติคนไข้เป็นสำคัญ ร่วมกับการตรวจร่างกาย จากนั้นส่งตรวจเลือด ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ การทำงานของเส้นประสาท ตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาสาเหตุของโรค
ดังนั้น หากพบว่ามีอาการชา อ่อนแรงหรือเจ็บผิดปกติที่มือหรือเท้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเส้นประสาทส่วนปลาย ทําให้มีโอกาสหายเป็นปกติได้มากขึ้น
Cr::: thaihealth.or.th
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคปลายประสาทอักเสบ เป็นกลุ่มอาการของเส้นประสาทซึ่งทําหน้าที่นําคําสั่งจากสมองและไขสันหลังไปยังอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงทําหน้าที่รับความรู้สึกจากอวัยวะต่างๆ กลับไปยังสมอง
เส้นประสาทสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ประสาทรับความรู้สึกซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมต่อ สมอง และไขสันหลังกับผิวหนัง หรืออวัยวะภายใน
2. เส้นประสาทสั่งการหรือนําคําสั่ง ซึ่งเป็นประสาทที่เชื่อมต่อสมองและไขสันหลังกับกล้ามเนื้อ
3. ระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งเป็นประสาทที่เชื่อมต่อสมองและไขสันหลังกับอวัยวะภายใน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคปลายประสาทอักเสบ จะมีอาการชา หรือความรู้สึกลดลงที่บริเวณปลายมือและเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง เสียการทรงตัวหรือเดินเซ เนื่องจากการรับความรู้สึกที่เท้าผิดปกติ ความดันโลหิตลดลงต่ำ ท้องผูกหรือท้องเสีย อาหารย่อยยาก เหงื่อออกมากกว่าปกติ ซึ่งอาการดังกล่าว มักเป็นตลอดเวลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค
นายแพทย์นฤพัชร สวนประเสริฐ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรมประสาท สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า
สาเหตุที่พบของโรคปลายประสาทอักเสบ ได้แก่ โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุอื่นที่พบรองลงมา ได้แก่ การกดทับของเส้นประสาทจากการใส่เฝือก หรือใช้ไม้ค้ำ หรือการใช้งานข้อมือซ้ำ ๆ โรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ โรค SLE โรคปลอกประสาทอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดอักเสบ นอกจากนี้ยังพบโรคของความผิดปกติทางพันธุกรรม
การติดเชื้อไวรัส เช่น เชื้อHIV การได้รับสารพิษต่างๆ การขาดวิตามิน เช่น วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 เนื้องอกและมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไต โรคตับ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ สำหรับการวินิจฉัยและรักษา แพทย์จะดูจากประวัติคนไข้เป็นสำคัญ ร่วมกับการตรวจร่างกาย จากนั้นส่งตรวจเลือด ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ การทำงานของเส้นประสาท ตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาสาเหตุของโรค
ดังนั้น หากพบว่ามีอาการชา อ่อนแรงหรือเจ็บผิดปกติที่มือหรือเท้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเส้นประสาทส่วนปลาย ทําให้มีโอกาสหายเป็นปกติได้มากขึ้น
Cr::: thaihealth.or.th