ทำบุญไหว้พระ วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10 แห่งราชวงศ์จักรี งามสง่า สมพระเกียรติ

ทำบุญไหว้พระ วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10 แห่งราชวงศ์จักรี งามสง่า สมพระเกียรติ

ทราบกันไหมว่ากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนั้นมีวัดประจำรัชกาลด้วยนะ ซึ่งแต่ละวันคน ไ ท ย ก็ต่างคุ้นเคยกันดีเหมือนกัน และมีหลายคนมากคิดว่าวัดพระแก้วเป็นวันประจำรัชกาลที่ 1 แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย วันนี้เราก็เลยเอา วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10 มาเป็นความรู้และเผื่อว่าท่านไหนจะอยากไปทำบุญ ใครใกล้วัดไหนก็ลองแวะไปทำบุญกันได้เลย ถ้าพร้อมแล้วก็มาทำความรู้จักกับแต่ละวัดกันได้เลย

วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10

วัดประจำรัชกาลที่ 1 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร

ไม่ใช่วัดพระแก้วนะ ใครเข้าใจผิดก็เข้าใจใหม่นะ วัดที่แท้จริงคือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร นั่นเอง ซึ่งวันนี้จะรู้จักกันดีในชื่อ “วัดโพธิ์” แล้วก็ยังมีชื่อเดิมก็คือ วัดโพธาราม เป็นวัดเก่าแก่มากๆ ซึ่งสร้างมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระอารมหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร แน่นอนว่าเป็นวัดประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1 ) ว่างๆ ก็ลองแวะมาเที่ยวกันดู

วัดประจำรัชกาลที่ 2 วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร

ที่นิยมเรียกกันในภาษาพูดว่า “วัดแจ้ง” หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า “วัดอรุณ” เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าแต่เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่

ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่า “วัดแจ้ง”

ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง ต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม”

วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10

วัดประจำรัชกาลที่ 3 วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่เดิมมีชื่อว่า “วัดจอมทอง” เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงเทพมหานคร พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) ทรงสถาปนาวัดจอมทองขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม เนื่องจากเมื่อครั้งที่ทรงยกทัพไปสกัด ทั พ พ ม่ า ที่ด่านพระเจดีย์สามองค์ กาญจนบุรีใน พ.ศ. 2363

เมื่อกระบวนทัพเรือมาถึงวัดจอมทอง ฝั่งธนบุรีทรงหยุดพักและทำพิธีเบิกโขลน ท ว า ร ตามตำราพิชัย ส ง ค ร า ม พร้อมทรงอธิษฐานขอให้การไปราชการทัพครั้งนี้ได้ชัยชนะ แต่ปรากฏว่าไม่มี ทั พ พ ม่ า ยกเข้ามา เมื่อยกทัพกลับ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่และถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชโอรส” ซึ่งหมายถึง พระราชโอรส คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10

วัดประจำรัชกาลที่ 4 วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร

วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ตามธรรมเนียมประเพณีโบราณที่ว่า ในราชธานีจะต้องมีวัดสำคัญประจำ 3 วัด คือ

วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดราชประดิษฐาน จึงทรงสร้างขึ้นใหม่เพื่อให้ครบตามโบราณราชประเพณี และเพื่อพระอุทิศถวายแก่พระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายเพื่อที่พระองค์เองและเจ้านาย ข้าราชการที่จะไปทำบุญที่วัดฝ่ายธรรมยุติกนิกายใกล้พระบรมมหาราชวังได้สะดวก วัดราชประดิษฐฯ จึงเป็นวัดฝ่ายธรรมยุติกนิกายวัดแรกที่สร้างขึ้นเพื่อพระสงฆ์ในนิกายนี้ เพราะวัดอื่นๆ ของฝ่ายธรรมยุตเป็นวัดที่แปลงมาจากวัดของมหานิกาย

วัดประจำรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 7 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร

เป็นพระอารามหลวงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรม ไ ท ย กับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรม ไ ท ย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัดประจำรัชกาลที่ 1 – 10

วัดประจำรัชกาลที่ 6 วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็ สิ้ น พ ระ ช น ม์ เสียก่อน มีสถาปัตยกรรมแบบ ไ ท ย ผสม จี น ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ 2 องค์เป็นพระประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี และพระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
ถัดจากพระอุโบสถออกไปเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่ สร้างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หุ้มกระเบื้องสีทอง

ในรัชกาลปัจจุบัน รอบฐานพระเจดีย์มี ศาลา จี น และซุ้ม จี น ถัดออกไปเป็นวิหารเก๋ง จี น  นอกจากนี้ก็มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง บริเวณรอบเจดีย์มีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่ง คือ พระไพรีพินาศ ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้เมื่อยังทรงดำรงพระอิสริยยศที่สยามมกุฎราชกุมาร

วัดประจำรัชกาลที่ 8 วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร

เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสัง ฆ า ราม
จึงเรียกกันว่า “วัดพระโต” “วัดพระใหญ่” หรือ “วัดเสาชิงช้า” บ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็ สิ้ น รั ช ก า ล เสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ

การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” ปรากฏในจดหมายเหตุว่า วัดสุทัศนเทพธารามและในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า “พระศรีศากยมุนี” “พระพุทธตรีโลกเชษฐ์” และ “พระพุทธเสรฏฐมุนี”

วัดประจำรัชกาลที่ 9 วัดบวรนิเวศวิหาร

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หรือ วัดบวรนิเวศวิหาร (เดิมชื่อว่า วัดใหม่) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สถาปนาขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 พระอารามนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์แห่งแรกในประ เ ท ศ ไ ท ย ทั้งยังเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) และ วัดประจำรัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) พระประธานในพระอารามนี้มีความแตกต่างจากวัดอื่นๆ โดยทั่วไป คือ

มีพระประธาน 2 องค์ และล้วนมีความสำคัญเนืองจากเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่โบราณ ได้แก่ พระพุทธชินสีห์ ซึ่งอัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยอัญเชิญมาทั้งองค์ราวปี พ.ศ. 2373 และพระสุวรรณเขต หรือ “พระโต” หรือ หลวงพ่อเพชร พระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานไว้เบื้องหลังพระพุทธชินสีห์ เป็นพระประธานองค์แรกของอุโบสถวัดนี้ ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี

วัดประจำรัชกาลที่ 10 วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร (วัดทุ่งสาธิต)

วัดนี้เดิมชื่อ วัดทุ่งสาธิต เดิมทีคหบดีชาวลาวเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณ พศ.2399 เล่าต่อกันมาว่าเป็นวัดร้างมาก่อน โดยคหบดีชาวลาวท่านนี้อพยพ ม า สมัย เ วี ย ง  จั น ท ร์ แตก หลังจากคหบดีท่านถึงแก่ ก ร ร ม วัดนี้เลย ร้ า ง เนื่องจากไม่มีใครอุปถัมป์ ประกอบกับเจ้าอาวาสองค์สุดท้าย ม ร ณ ภ า พ ลง เลยไม่มีใครสืบสาน และก็สมัยก่อนนั้นวัดนี้อยู่ห่างไกลความเจริญ เป็นทุ่งนาส่วนใหญ่

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ (พระยศในขณะนั้น) รับวัดทุ่งสาธิตไว้ในพระอุปถัมภ์ เป็นอารามหลวงได้พระราชทานนามว่า วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร ที่ตั้ง เลขที่ 1199 ซอย 101/1 สุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม 10260

ก็ลองหาเวลาไปทำบุญกันดูได้เลยนะ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมวัดรัชกาลที่ 1 – 10 ถึงได้มีเพียง 9 ข้อ ลองกลับไปดูที่ข้อที่ 5 ดู วัดประจำรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 7 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นวัดเดียวกันเลย และทุกวันไม่ได้เดินทางไปลำบากเลย แต่ถ้าจะเที่ยวให้ครบทั้งหมดในวัดเดียวอาจจะเหนื่อยไปหน่อย แต่ก่อนจะไปก็ควรวางแผนให้ดีแล้วก็ออกไปทำบุญกันได้เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : campus-star