แค่ดื่มน้ำอัดลมผ่านไป 1 ชั่วโมง ส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

คนบางคนต้องเคยดื่มน้ำอัดลมกันมาแล้วทั้งนั้น แล้วยิ่งอากาศร้อนก็ยิ่งกระหาย ต้องการดื่มเครื่องดื่มหวานๆ

กันทั้งนั้น ดังนั้นน้ำอัดลมจึงเป็นเครื่องดื่มแรกๆเลยที่ทุกคนจะต้องไปซื้อมาดื่มกัน ตอนที่กระหายน้ำ

แต่จะมีสักกี่คนที่ตระหนักรู็ถึงผลกระทบที่ตามมาหลังจากการดื่มน้ำอัดลมเข้าไป เรามาดูข้อมูลกันดีกว่าว่า

หลังจากดื่มน้ำอัดลมเข้าไปแล้ว 1 ช.ม. จะส่งผลอะไรต่อเราบ้าง

คุณ Niraj Naik เจ้าของบล็อก The Renegade Pharmacist ได้วิจัยแล้วก็เผยแ  พ  ร่ ว่ า

ถ้าคุณได้ดื่มน้ำอัดลมเข้าไปพอ ผ่  า น ไป 1 ชั่  ว  โมงจะส่งผลอย่างไรกับเราบ้าง

ผ่  า น ไป 10 นาทีแรก

จะเหมือนว่า น้ำตาล 14 ช้อนชา ขนาดเยอะมากเลยจะถูกนำเข้าไปทาร่างกาย ร่างกายเรา

ต้องการแค่วันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น โดยพอสิ่งที่ร่างกายได้รับหวานเกิน  ความหวานนี้

จะมีกรดฟอสฟอริกลดความหวาน และ ทำให้เรา ส  า ม  า ร ถ ดื่มต่อได้เรื่อยๆอย่างอร่อย

โดยที่ร่างกายไม่ทันรับรู้ได้เลยว่า เราทาน้ำตาลมากเข้าไปแค่ไหนแล้ว

ผ่  า น ไป 20 นาทีต่อมา

ระดับของน้ำตาลในร่างกายพุ่งสูง ทำให้ร่างกายปล่อยปล่อยอินซูลินออกมา และ ตั บ

จะตอบสนองด้วยการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน

ผ่  า น ไป 40 นาทีต่อมา

คาเฟอีนจะถูกดูดซึม ความดันจะสูงขึ้น ( ส่งผลต่อคนที่มีปัญหาความดันสูงอยู่แล้ว )

และ คาเฟอีนยังทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวมากกว่าปกติ ทำให้ไม่ง่วง

ผ่  า น ไป  45 นาทีต่อมา

สมองจะสั่งการให้ร่างกายเร่งสร้างโดพามีน และ เซโรโทนิน ทำให้เรารู้สึกมีความสุข และ ผ่อนคลาย

ครบ 1 ชั่  ว โมง

คาเฟอีนจะทำให้เราเริ่มรู้สึกอย  า ก ปั ส ส า ว ะ และ หลังจากกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้น

ร่างกายจะเกิด  อาการ ” Sugar Crash “ ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียหลังจากที่กินน้ำตาล

ไปเป็นจำนวนมาก และ นั่นก็ทำให้เรารู้สึก อย  า ก ดื่มน้ำอัดลมอีก พอเราดื่มเข้าไปก็วนลูปเดิม

คุณ Niraj ยังบอกต่ออีกว่า ในน้ำอัดลมไม่ใช่แค่มีน้ำตาลที่สูงมาก คาเฟอีนรวมอยู่ด้วย

ถ้าดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้เกิดภาวะ ” โ ร ค อ้ ว น “ ถึงแม้

การดื่มน้ำอัดลมเพียง 1 กระป๋อง อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อเรามาก

แต่การดื่มในปริมาณที่เกินกว่านั้นและดื่มเป้นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น

เราเองก็ควรจะเลือกทานอย่างพอเหมาะ เลือกสูตรที่มีน้ำตาลน้อย และ ควรออกกำลังเป็นประจำ

เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในร่างกาย

ขอบคุณแหล่งที่มา  bitcoretech