Home »
Uncategories »
คนกิน “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ต้องอ่านถ้ากินเป็นประจำ จะเกิดผลเสียแบบนี้ อันตรายต่อชีวิตมาก
คนกิน “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ต้องอ่านถ้ากินเป็นประจำ จะเกิดผลเสียแบบนี้ อันตรายต่อชีวิตมาก
คนกิน “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ต้องอ่ า นถ้ากินเป็นประจำ จะเกิດผลเสียแบ บนี้ อันตรายต่อชีวิตมาก
ทุกครั้งที่ฉันต้องหาอาหารแบบเร่งด่วนให้ลูกฉันจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองห่อ
(พร้อมใส่ผงชูรส) ถั่วหนึ่งกระป๋องและข้าวโพดอีกหนึ่งกระป๋อง
จากนั้นก็ผสมเข้าด้วยกันจนกลายเป็น “ซุปคุณแม่”
ลูกของฉันชอบมากและบอกว่านี่คืออาหารระดับภัตตาคารเลยทีเดียว
แต่หลังจากที่ฉันได้อ่ า นบทความนี้
คราวหน้าฉันอาจต้องหาบะหมี่อย่างอื่นให้ลูกแล้วล่ะ
ราเมงและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอื่นคืออาหารหลักของประเทศส่วนใหญ่ในแถบเอเชียซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้ป่
ว ยโ ร คหัวใจและโ ร
คอ้วนก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยโดยเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้
(เนื่องจากมีผู้บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จเป็นจำนวนมากที่สุดของโลก)
ด้วยเหตุนี้ ดร.ฮุนจุนชิน
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านหัวใจประจำศูนย์การแพทย์มหาวิทย าลัยเบย์เลอร์จึง
ตั ดสินใจสืบหาว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่
สิ่งที่เขาพบในงานวิจัยนั้นน่ากลัวมาก
การศึกษาพบว่าการรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่น ราเมง โลเหมี่ยน
และวุ้นเส้น สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจะทำให้ เ สี่ ย ง ในการเป็นโ ร
คอ้วนลงพุงมากขึ้น จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติพบว่าโ ร
คอ้วนลงพุงคือกลุ่มปัจจัยที่เพิ่มความ เ สี่ ย ง ในการเป็นโ ร
คหัวใจและหลอดเ ลื อ ด โ ร คเบาหวาน โ ร คหลอดเ ลื อ ดสมอง และร้ า
ยแรงจนถึงขั้นเสี ย ชีວิต นอกจากนี้ยังเป็นที่สังเกตว่าในไม่ช้าโ ร
คอ้วนลงพุงน่าจะกลายเป็นปัจจัย เ สี่ ย ง หลักสำหรับโ ร
คหัวใจซึ่งมาแทนที่การสูบบุหรี่
ดังนั้นการเปลี่ยนพฤติกຽຽมการกินและการออกกำลังกายในระยะย
าวจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
ส่วนประกอบในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
แป้งสาลี 60-70 %
ไขมันในเครื่องปรุง 15-20 %
เกลือและผงชูรส 5-6 %
โซเดียม ในสูตรธรรมดา 1,200-1,500 มิลลิกรัม
โซเดียม ในสูตรต้มยำ ต้มโคล้ง น้ำข้น 2,000 มิลลิกรัม
กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเสียงหลากโ ร ค
โ ร ค หัวใจ
โ ร ค ไต
โ ร ค อ้วน
ท้องอืด ท้องเฟ้อ
โ ร ค ข า ด ส า รอาหาร
โ ร คความดันโ ล หิ ตสูง
กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างไรให้ปลอดภัย
เติมผัก ไข่ เ นื้ อสัตว์
ไม่ควรกินดิบ
ไม่ควรกินเกิน 1 ซองต่อวัน
เลือกซื้อ สูตรที่มี ส า รไอโอดีน ธาตุเหล็กและวิตามินเอ
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)