Home »
Uncategories »
เทียบชัดๆ แอร์ ‘ระบบอินเวอร์เตอร์’ กับ ‘ระบบธรรมดา’ แบบไหนดีกว่ากัน?
เทียบชัดๆ แอร์ ‘ระบบอินเวอร์เตอร์’ กับ ‘ระบบธรรมดา’ แบบไหนดีกว่ากัน?
ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นที่จะต้องมีติดบ้านไว้เลยทุกวันนี้
ด้วยสภาพอากาศบ้านเราในช่วงหน้าร้อน อบอ้าวทำให้ภายในบ้านร้อยไม่น่าอยู่
สำหรับ "แอร์" เครื่องปรับอากาศ มีหลายรุ่นหลายยี่ห้อ
วันนี้เราจะพาไปเปรียบเทียบระหว่างเครื่องปรับอากาศแบบระบบอินเวอร์เตอร์กับระบบบธรรมดาที่หลายบ้านใช้อยู่
ว่ามันดีกว่ากันยังไง โดยทางด้านสมาชิกพันทิป
หลายคนยังสงสัยกันใช่มั้ยว่า
แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์กับระบบธรรมดาต่างกันยังไง เราเองก็สงสัยนะ
คือตอนอยู่ที่บ้าน พ่อเป็นคนเลือกแอร์ให้ แต่เป็นระบบธรรมดา
ตอนนี้เรามาอยู่คอนโดเพราะใกล้ที่ทำงาน มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่บ้านเลย
แต่... ยี่ห้อนี้มันมีรุ่น X-Inverter เกิดขึ้นมาใหม่จ้า (เอาจริงขนาดรุ่น
Inverter ก็ยังไม่ค่อยรู้นะว่ามันเป็นยังไง)
เลยเป็นที่มาของการหาข้อมูลเพื่อไว้เป็นความรู้
แล้วเอามาแบ่งปันให้ชาวพันทิปกัน
ปล. ขอใช้ตัวอย่างเป็นยี่ห้อนี้ที่ติดทั้งคอนโดและบ้านก็แล้วกันนะ
เริ่มจากระบบธรรมดาก่อน(ตัวนี้ติดที่บ้าน)
ตัวระบบ – มีฟังก์ชันการทำงานตอบโจทย์การใช้งานตามปกติ
แต่อาจจะไม่ทันสมัยในเรื่องการประหยัดไฟ และการฟอกอากาศ
ตัวคอมเพรสเซอร์หยุดการทำงานและสตาร์ทใหม่สลับกัน
หลักการทำงาน
- ตัวระบบจะดูอุณหภูมิที่ห้องก่อนว่ามีความเย็นเกินกว่าที่เราตั้งไว้รึเปล่า
- ตัวระบบจะลดอุณหภูมิลงต่ำกว่าที่ตั้งไว้ประมาณ 1 -2 องศา แล้วก็จะทำการสั่งตัดไฟที่คอมเพรสเซอร์ทันที
-
เมื่อมีความร้อนหรืออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่กำหนด
ตัวคอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานใหม่
เพื่อให้อุณหภูมิในห้องได้ตามที่เรากำหนดเหมือนเดิม
เรื่องของการประหยัดไฟ –
ได้รับมารตฐานเบอร์ 5 แต่ก็ยังกินไฟ เพราะตัวคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย
และเริ่มทำงานใหม่บ่อย (ติดดับสลับกันไปเรื่อยๆ)
ห้องที่เหมาะสม –
เหมาะกับห้องที่ไม่ได้มีการใช้งานบ่อยๆ และมีขนาดห้องที่ไม่ใหญ่มาก
อย่างห้องนอน คอนโด หรือห้องขนาดไม่เกินประมาณ 28 – 32 ตรม. ก็ยังโอเค
ราคา – ราคาเครื่องถูกกว่า ถ้าเทียบกับระบบ Inverter
ส่วนของระบบ Inverter (ไม่มีรูปจริงขอเอาตัวอย่างมาจากเว็บของ BB Air Trading นะ)
รูปตัวอย่างแอร์ระบบ Inverter จากเว็บ BB Air Trading
ตัวระบบ – เริ่มมีฟังก์ชันเยอะขึ้น มีระบบเซนเซอร์ และคอมเพรสเซอร์ทำงานต่อเนื่อง
หลักการทำงาน
- ค่อยๆ ลดอุณหภูมิลงจนถึงระดับที่ตั้งไว้
- คอมเพรสเซอร์ปรับรอบการทำงานให้ช้าลง “แต่ไม่ดับ”
- เมื่อมีความร้อนหรืออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่กำหนด ตัวคอมเพรสเซอร์จะเร่งรอบให้ไวขึ้น
- ระบบจะคงที่อุณหภูมิค่อนข้างแม่นยำไว้ตลอดเวลา
- การเดินเครื่องจะเงียบกว่า และไม่กระชากไฟ
- มีระบบ AUTO SELF CLEANING
ถ้าเราปิดใช้งานแอร์
ตัวระบบทำความสะอาดคอยล์เย็นจะทำงานอัตโนมัติและปล่อยลมไล่ความชื้น
เพื่อลดการเกิดและสะสมสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรค
- มีระบบ AQUA RESIN สารที่ช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรก ที่เคลือบบนผิวของคอยล์เย็น ทำให้อากาศสะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ
เรื่องของการประหยัดไฟ –
ได้รับมารตฐานเบอร์ 5 มีตั้งแต่ระดับ 1-2 ดาว แต่ไม่ถึง 3 ดาว
ประหยัดไฟกว่าระบบธรรมดา
เพราะถึงแม้ตัวคอมเพรสเซอร์จะทำงานอยู่ตลอดแต่กินไฟระดับต่ำกว่าการสตาร์ทเครื่องคอมเพรสเซอร์ใหม่
ห้องที่เหมาะสม – เหมาะกับห้องปกติ
ห้องนอน คอนโด ก็ยังโอเค
หรือเป็นห้องที่มีการใช้งานต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ
หรือออฟฟิศที่มีจำนวนคนเยอะๆ ก็ได้
เรื่องราคา – ราคาค่อนข้างแพง ถ้าเทียบกับระบบธรรมดา
แล้วตัวที่คอนโดละ ระบบ X-Inverter คืออะไร?
จากการหาข้อมูลบนเว็บของแคเรียเอง สรุปให้ประมาณนี้
ตัวระบบ – มีฟังก์ชันเยอะขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีประหยัดไฟและกำจัดฝุ่น PM 2.5 มีระบบเซนเซอร์และคอมเพรสเซอร์ทำงานต่อเนื่อง
หลักการทำงาน - ทำงานคล้ายกับ Inverter ทั้งหมด
- ค่อยๆ
ลดอุณหภูมิลงจนถึงระดับที่ตั้งไว้ ตัวคอมเพรสเซอร์ปรับรอบการทำงานให้ช้าลง
“แต่ไม่ดับ” เมื่อมีความร้อนหรืออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่กำหนด
ตัวคอมเพรสเซอร์จะเร่งรอบให้ไวขึ้น
- ระบบจะคงที่อุณหภูมิค่อนข้างแม่นยำไว้ตลอดเวลา
- AUTO SELF CLEANING และ AQUA
RESIN ยังคงอยู่แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา
ก็คือระบบที่เน้นเรื่องของการดูแลสุขภาพที่มากขึ้นกับ 2 ฟังก์ชันใหม่
- X – IONIZER
เป็นระบบที่ปล่อยประจุลบ “ไอออน”
ไปกำจัดฝุ่นและเชื้อโรครวมถึงกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ
มีการทดสอบและรับรองจากสถาบันต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน
- PM 2.5 FILTER
เป็นแผ่นฟอกอากาศชนิดพิเศษช่วยดักจับฝุ่นขนาดเล็ก รวมถึง PM 2.5 ได้ 94%
พร้อมเคลือบสารที่ช่วยลดการเกิดแบคทีเรียและไวรัส
- การเดินเครื่องจะเงียบกว่า
- ระบบที่ช่วยป้องกันแผงวงจรไฟฟ้า
ในกรณีที่แรงดันไฟฟ้าตกหรือเกิน (ANTI – SHOCK)
และถ้าไฟฟ้าดับก็จะมีระบบอัตโนมัติที่จะทำให้กลับมาทำงานใหม่ได้ (AUTO –
RESTART)
เรื่องของการประหยัดไฟ –
ได้รับมารตฐานเบอร์ 5 ระดับ 3ดาว ประหยัดไฟมากกว่าระบบทั่วไปประมาณ 33%
ผ่านการรับรองจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
จุดนี้ที่เราคิดว่าเหนือกว่าแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ธรรมดาและแอร์ระบบทั่วไป
คิดว่าการใช้งานในระยะยาวก็จะยิ่งคุ้ม
ห้องที่เหมาะสม – เหมาะกับห้องปกติ
ห้องนอน คอนโด หรือเป็นห้องที่มีการใช้งานต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ
หรือออฟฟิศที่มีจำนวนคนเยอะๆ เหมือนกับของ Inverter
(แต่ถ้าดูจากระบบที่เน้นเรื่องสุขภาพแล้ว คลินิกหรือร้านขายยาก็น่าสนใจนะ)
เรื่องราคา – ราคาพอๆ กับ Inverter ไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเทียบเรื่องฟังก์ชันที่ได้มาก็ถือว่าคุ้มเลย
สรุปแล้ว แบบไหนดีกว่ากันละ ?
จะบอกว่าปัจจัยมันมีหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องของฟังก์ชันหรือลักษณะการทำงานเท่านั้น
ปัจจัยแรกที่เรามักจะมองกันก็คือ เรื่องของค่าใช้จ่าย
ทำรูปมาให้ดูกัน เผื่อจะเข้าใจง่ายขึ้น
ส่วนของค่าไฟ มีวิธีการคำนวน ตามนี้ (กรณีนี้เทียบแค่ในห้องนอนเครื่องเดียว)
รุ่นธรรมดา (Non-Inverter)
ตัวอย่าง แอร์แคเรียธรรมดาที่ติดบ้านเรา
จำนวนวัตต์ = 1,490 Watt
ค่าไฟต่อหน่วย = 4.22 บาท(ใช้ต่อเดือนประมาณ 151 – 400 หน่วย)
ชั่วโมงที่ใช้งานประมาณ 7 ชั่วโมงต่อวัน(เปิดเฉพาะตอนนอน 4ทุ่ม - ตี5) ปีละ
7x365 = 2,555 ชั่วโมงต่อปี รวมแล้วค่าไฟโดยประมาณต่อปี = 16,065
บาทต่อปี (1,338 บาท/เดือน)
รุ่นอินเวอร์เตอร์ (Inverter)
ตัวอย่าง แอร์แคเรีย X-Inverter ที่ติดในคอนโดเรา ขนาดทำความเย็น(BTU) = 12,200 btu/hr
SEER = 22.50 ค่าไฟต่อหน่วย = 4.22 บาท(ใช้ต่อเดือนประมาณ 151 – 400
หน่วย) ชั่วโมงที่ใช้งานประมาณ 7 ชั่วโมงต่อวัน(เปิดเฉพาะตอนนอน 4ทุ่ม -
ตี5) ปีละ 7x365 = 2,555 ชั่วโมงต่อปี รวมแล้วค่าไฟโดยประมาณต่อปี = 5,846
บาทต่อปี (487 บาท/เดือน)
**พึ่งติดได้ 5 เดือนแต่ลองคำนวนประมาณการให้เห็นเป็นรายปี
นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องฟังก์ชันและการรับประกันต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน สรุปให้เห็นเป็นตารางข้อมูลสั้นๆ ตามนี้
จากข้อมูลทั้งหมดที่เราเอามาเรียบเรียงให้อ่าน พอจะคาดได้ว่า
ถ้ามองการใช้งานในระยะยาว ตัว Inverter หรือ X-Inverter
น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าจริงๆ
จ่ายแพงกว่าก็จริงแต่ประหยัดค่าไฟในระยะยาวได้จริงเหมือนกัน
คือแอร์มันมีเทคโนโลยีที่วิวัฒนาการมากขึ้น อากาศก็ร้อนขึ้นแทบทุกวัน
ดังนั้นเจ้าไหนแบรนด์ไหนพัฒนาได้ดีกว่า ประหยัดไฟกว่า
ฟังก์ชันเหมาะสมนำไปใช้จริงได้ดีกว่า
ยิ่งดูจากการรับประกันของแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์แล้วยาวนานกว่าระบบธรรมดาเยอะ
ทำให้มั่นใจได้มากขึ้นไปอีก สำหรับเราสิ่งที่ตอบโจทย์อีกอย่างก็คือ
สามารถดูแลสุขภาพได้ดีด้วย เพราะสถานการณ์ PM 2.5 ก็ยังน่ากังวลอยู่
แบบนี้ก็น่าจะตอบโจทย์คนที่ต้องการแอร์ไปติดที่บ้านหรือคอนโดได้แล้ว
ส่วนเรื่องของการบำรุงรักษา
เท่าที่อ่านจากเว็บต่างๆ
แล้วก็เคยได้ยินช่างพูดเหมือนกันนะว่าแอร์ระบบธรรมดาจะซ่อมง่ายกว่า
ไม่ค่อยอยากรับมือกับระบบอินเวอร์เตอร์เท่าไร
อาจเป็นเพราะว่ามันยังไม่บูมมั้งหรือไม่ก็มีเทคโนโลยีที่เยอะขึ้น
แต่เราคิดว่าร้านแอร์ที่เป็นศูนย์ใหญ่หน่อยและมีมาตรฐานจริงๆ
เค้าน่าจะมีการอบรมจากแบรนด์แอร์ต่างๆ ให้นะ
เครื่องมือก็น่าจะพร้อมกว่าช่างทั่วไปด้วย
แถมเดี๋ยวนี้ก็น่าจะมีคู่มือให้ช่างหาความรู้ได้สบายแล้ว
อีกอย่างตัวระบบอินเวอร์เตอร์มันสามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยตัวเองได้
แสดงผลออกมาเป็น Error code ให้ช่างเห็นปัญหาเลย ทำให้แก้ไขได้ตรงจุด
ตอนมาติดตั้งที่คอนโดจำได้ว่าช่างตรวจเช็คผ่านสมาร์ทโฟนกันเลยจ้า
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้าเกินอายุประกันคงไม่ซ่อมอะ
เปลี่ยนอะไหล่เลยน่าจะง่ายกว่า ถ้าเป็นชาวพันทิปละ
คิดว่าจะเปลี่ยนอะไหล่กันเลย หรือแจ้งซ่อมเรื่อยๆ
มาแชร์ข้อมูลเพิ่มเติมกันได้นะ
สำหรับข้อมูลต่างๆ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วย ขอบคุณทุกๆ ข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ใช้อ้างอิงในครั้งนี้
จากข้อมูลข้างต้นเปรียบเทียบกันแล้วเครื่องปรับอากาศแบบระบบอินเวอร์เตอร์มีข้อดีกว่าในหลายๆ
เรื่องเลยทีเดียว ใครที่กำลังมองหาแอร์เข้าบ้าน
คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลย