ไวรัสตับอักเสบ เอ โรคติดต่อที่มักจะได้รับเชื้อจากอาหารการกิน
และอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงตายได้ เพียงแค่ดูดน้ำจากหลอดของคนที่มีเชื้อ !
ไวรัสตับอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งไวรัสที่ทำให้เกิดอาการตับอักเสบก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้งไวรัสตับอักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี ไปจนถึงไวรัสตับอักเสบ จี ทว่าในวันนี้เราจะขอพาทุกคนมาเจาะลึกกับโรคไวรัสตับอักเสบชนิด เอ ซึ่งเราจะมาดูกันค่ะว่า โรคไวรัสตับอักเสบ เอ อันตรายแค่ไหน มีวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ไหม และวิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ ต้องทำยังไงบ้าง
ไวรัสตับอักเสบ เอ มารู้จักกันหน่อย
เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Hepatitis A Virus (HAV) เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากมักจะพบการระบาดของโรคในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมไม่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลดี ก็พบการระบาดของไวรัสตับอักเสบ เอ ได้เช่นกัน ซึ่งก็คาดว่าการถ่ายทอดโรคมักจะเกิดกับคนในครอบครัวเดียวกัน เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ เอ ในระยะเฉียบพลัน หรืออาจเกิดการระบาดในศูนย์เลี้ยงเด็ก ค่ายทหาร เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบ เอ เกิดจากอะไร
ภาวะตับอักเสบ เกิดจากเนื้อเยื่อของตับเกิดการอักเสบ โดยอาจจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ หรือเนื้อเยื่อของตับถูกทำลายจากสารเคมีและยาบางชนิด ทว่าสาเหตุของภาวะตับอักเสบที่พบได้บ่อยมักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งไวรัสที่เป็นตัวก่อโรคอักเสบก็มีหลายชนิดด้วยกัน แต่ไวรัสที่สำคัญและพบการระบาดค่อนข้างบ่อยที่สุดคือ เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบ เอ ติดต่อจากทางไหนได้บ้าง ดูดน้ำหลอดเดียวกันก็เสี่ยง ?!
ไวรัสตับอักเสบชนิด เอ สามารถติดต่อได้จากระบบทางเดินอาหาร จากการรับประทานอาหาร ดื่มนม หรือน้ำที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งอย่างน้ำลาย หรืออุจจาระของคนที่มีเชื้อโรคนี้ (ไม่ต่างจากการติดต่อของโรคบิด อหิวาต์ และไทฟอยด์) ดังนั้นหากกินอาหารร่วมกับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ โดยไม่ใช้ช้อนกลาง หรือแม้กระทั่งดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้หลอดร่วมกันกับผู้มีเชื้อก็อาจติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ รวมไปถึงการติดเชื้อเพราะรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้เตรียมอาหาร ซึ่งเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ เอ ด้วย
นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ยังอาจเกิดได้จากการรับประทานอาหารที่ไม่ได้ทำให้สุกดี หรือมีการจับต้องอาหารภายหลังจากการปรุงสุกจนทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรค รวมไปถึงเชื้อที่มาจากนม สลัด หอยปรุงไม่สุก ที่เก็บจากน้ำบริเวณที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ด้วย
ทั้งนี้หากเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วต่อไปยังตับ น้ำดี เข้าสู่ลำไส้ ก่อนเชื้อจะปะปนออกมาทางอุจจาระ หากเชื้อนี้ไปปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม คนที่รับประทานเข้าไปก็จะติดโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ต่อไป
ไวรัสตับอักเสบ เอ อาการเป็นอย่างไร
อาการของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบชนิด เอ มักจะมีอาการเริ่มแรกอย่างปัจจุบันทันด่วนมากกว่าอาการที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ๆ โดยผู้ป่วยเด็กเล็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ จะมีอาการเพียงเล็กน้อย บางรายมีอาการเพียงไม่กี่วัน ส่วนในเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจมีอาการนานถึง 3 สัปดาห์ โดยเริ่มแรกจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีอาการอ่อนเพลียมาก รวมทั้งคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก ๆ ซึ่งอาจทำให้วินิจฉัยโรคคลาดเคลื่อนได้ว่าเป็นอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
กระทั่งผ่านไปแล้วราว 4-7 วัน จึงจะตรวจพบอาการได้ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด ในบางรายอาจมีอาการคันตามผิวหนังร่วมด้วย จนกระทั่งโรคดำเนินต่อไปอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่ออาการอักเสบของตับลดลง อาการอื่น ๆ ก็จะทุเลาลงไปด้วยและหายได้เอง เพราะไวรัสตับอักเสบชนิด เอ ไม่ถึงขั้นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ถ้าเป็นแล้วรักษาหายก็จะหายขาดได้ แถมร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ เอ เพิ่มขึ้นมาด้วย
ทว่าในกรณีที่ติดเชื้อรุนแรง มีอาการของโรคค่อนข้างหนัก รวมไปถึงมีอาการแทรกซ้อนอย่างตับวายเฉียบพลัน ตัวเหลืองยาวนานจากการคั่งของน้ำดีในตับ เคสหนักแบบนี้ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน
ไวรัสตับอักเสบ เอ รักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง
โดยส่วนมากแล้วผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบชนิด เอ มักจะมีอาการเล็กน้อยและภูมิต้านทานในร่างกายสามารถรักษาอาการให้หายได้เอง แพทย์จึงอาจทำแค่เพียงประคับประคองอาการของผู้ป่วยไป เช่น ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ลดอาหารมัน ๆ แอลกอฮอล์ และให้ดื่มน้ำหวานเพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ รวมทั้งเฝ้าระวังภาวะเลือดออกและภาวะตับวาย เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบ เอ ป้องกันได้อย่างไร
1. ควรรักษาสุขอนามัยทั้งของตนเอง ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
2. หมั่นล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
3. ควรรับประทานอาหารที่ทำสุกสะอาด ไม่มีแมลงวันตอม และดื่มน้ำที่สะอาด ถ้าไม่แน่ใจให้อุ่นหรือต้มจนน้ำเดือดนานเกิน 1 นาที หรืออุ่นร้อนอาหารและน้ำด้วยไมโครเวฟ
4. ในสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรมีมาตรการเข้มงวดเพื่อลดโอกาสการติดต่อทางอุจจาระสู่ปาก โดยเน้นให้ล้างมือทุกครั้งหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมและก่อนรับประทานอาหาร
5. หอยนางรม หอยกาบ และสัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก ก่อนรับประทานควรทำให้สุกด้วยความร้อน ระดับ 85-90 องศาเซลเซียส นาน 4 นาที หรือนึ่งภายใต้ความดัน 90 วินาที
วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ มีไหม
วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ อีกทางหนึ่งที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ นั่นเองค่ะ โดยไวรัสตัวนี้ทำมาจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้วและหมดความสามารถในการก่อโรค เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจึงเปรียบเสมือนตัวต้านทานไวรัสตับอักเสบ เอ ที่ยังเปี่ยมเชื้อก่อโรคได้
ทั้งนี้ผู้ที่ควรได้รับวัคซีนตับอักเสบ เอ ได้แก่ ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับรุนแรง เช่น ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง นอกจากนี้ผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบอาหาร ผู้ที่อาศัยในที่แออัด และผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคสูงก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิด เอ จำนวน 2 ครั้ง โดยทิ้งห่างกัน 6-12 เดือน
ส่วนการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ในเด็ก สามารถให้ได้ในเด็กอายุ 12 เดือนขึ้นไป โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน ทว่าในคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันโรคก่อน หากพบว่ามีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนก็ได้ แต่หากยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จะฉีดก็ตามสบายเลย อ้อ ! แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ยังไม่ได้อยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นผู้ที่ประสงค์จะรับวัคซีนนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ราคาแพงไหม
ราคาวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ จะอยู่ราว ๆ 480-2,000 บาทต่อเข็ม ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาลที่เข้ารับการฉีดวัคซีน
เห็นได้ชัดว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถป้องกันตัวเองจากไวรัสตับอักเสบ เอ ได้ แค่เพียงรักษาสุขอนามัยส่วนตัว กินอาหารและดื่มน้ำสะอาด ฉะนั้นก็อย่าชะล่าใจไม่ดูแลตัวเองจนเกิดโรคนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
ไวรัสตับอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งไวรัสที่ทำให้เกิดอาการตับอักเสบก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้งไวรัสตับอักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี ไปจนถึงไวรัสตับอักเสบ จี ทว่าในวันนี้เราจะขอพาทุกคนมาเจาะลึกกับโรคไวรัสตับอักเสบชนิด เอ ซึ่งเราจะมาดูกันค่ะว่า โรคไวรัสตับอักเสบ เอ อันตรายแค่ไหน มีวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ไหม และวิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ ต้องทำยังไงบ้าง
เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Hepatitis A Virus (HAV) เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากมักจะพบการระบาดของโรคในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมไม่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าในพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลดี ก็พบการระบาดของไวรัสตับอักเสบ เอ ได้เช่นกัน ซึ่งก็คาดว่าการถ่ายทอดโรคมักจะเกิดกับคนในครอบครัวเดียวกัน เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ เอ ในระยะเฉียบพลัน หรืออาจเกิดการระบาดในศูนย์เลี้ยงเด็ก ค่ายทหาร เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบ เอ เกิดจากอะไร
ภาวะตับอักเสบ เกิดจากเนื้อเยื่อของตับเกิดการอักเสบ โดยอาจจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ หรือเนื้อเยื่อของตับถูกทำลายจากสารเคมีและยาบางชนิด ทว่าสาเหตุของภาวะตับอักเสบที่พบได้บ่อยมักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งไวรัสที่เป็นตัวก่อโรคอักเสบก็มีหลายชนิดด้วยกัน แต่ไวรัสที่สำคัญและพบการระบาดค่อนข้างบ่อยที่สุดคือ เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบ เอ ติดต่อจากทางไหนได้บ้าง ดูดน้ำหลอดเดียวกันก็เสี่ยง ?!
ไวรัสตับอักเสบชนิด เอ สามารถติดต่อได้จากระบบทางเดินอาหาร จากการรับประทานอาหาร ดื่มนม หรือน้ำที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งอย่างน้ำลาย หรืออุจจาระของคนที่มีเชื้อโรคนี้ (ไม่ต่างจากการติดต่อของโรคบิด อหิวาต์ และไทฟอยด์) ดังนั้นหากกินอาหารร่วมกับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ โดยไม่ใช้ช้อนกลาง หรือแม้กระทั่งดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้หลอดร่วมกันกับผู้มีเชื้อก็อาจติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ รวมไปถึงการติดเชื้อเพราะรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้เตรียมอาหาร ซึ่งเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ เอ ด้วย
นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ยังอาจเกิดได้จากการรับประทานอาหารที่ไม่ได้ทำให้สุกดี หรือมีการจับต้องอาหารภายหลังจากการปรุงสุกจนทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรค รวมไปถึงเชื้อที่มาจากนม สลัด หอยปรุงไม่สุก ที่เก็บจากน้ำบริเวณที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ด้วย
ทั้งนี้หากเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วต่อไปยังตับ น้ำดี เข้าสู่ลำไส้ ก่อนเชื้อจะปะปนออกมาทางอุจจาระ หากเชื้อนี้ไปปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม คนที่รับประทานเข้าไปก็จะติดโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ต่อไป
อาการของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบชนิด เอ มักจะมีอาการเริ่มแรกอย่างปัจจุบันทันด่วนมากกว่าอาการที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ๆ โดยผู้ป่วยเด็กเล็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ จะมีอาการเพียงเล็กน้อย บางรายมีอาการเพียงไม่กี่วัน ส่วนในเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจมีอาการนานถึง 3 สัปดาห์ โดยเริ่มแรกจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีอาการอ่อนเพลียมาก รวมทั้งคลื่นไส้อาเจียนในระยะแรก ๆ ซึ่งอาจทำให้วินิจฉัยโรคคลาดเคลื่อนได้ว่าเป็นอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
กระทั่งผ่านไปแล้วราว 4-7 วัน จึงจะตรวจพบอาการได้ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด ในบางรายอาจมีอาการคันตามผิวหนังร่วมด้วย จนกระทั่งโรคดำเนินต่อไปอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่ออาการอักเสบของตับลดลง อาการอื่น ๆ ก็จะทุเลาลงไปด้วยและหายได้เอง เพราะไวรัสตับอักเสบชนิด เอ ไม่ถึงขั้นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ถ้าเป็นแล้วรักษาหายก็จะหายขาดได้ แถมร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ เอ เพิ่มขึ้นมาด้วย
ทว่าในกรณีที่ติดเชื้อรุนแรง มีอาการของโรคค่อนข้างหนัก รวมไปถึงมีอาการแทรกซ้อนอย่างตับวายเฉียบพลัน ตัวเหลืองยาวนานจากการคั่งของน้ำดีในตับ เคสหนักแบบนี้ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน
โดยส่วนมากแล้วผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบชนิด เอ มักจะมีอาการเล็กน้อยและภูมิต้านทานในร่างกายสามารถรักษาอาการให้หายได้เอง แพทย์จึงอาจทำแค่เพียงประคับประคองอาการของผู้ป่วยไป เช่น ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ลดอาหารมัน ๆ แอลกอฮอล์ และให้ดื่มน้ำหวานเพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ รวมทั้งเฝ้าระวังภาวะเลือดออกและภาวะตับวาย เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบ เอ ป้องกันได้อย่างไร
1. ควรรักษาสุขอนามัยทั้งของตนเอง ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
2. หมั่นล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
3. ควรรับประทานอาหารที่ทำสุกสะอาด ไม่มีแมลงวันตอม และดื่มน้ำที่สะอาด ถ้าไม่แน่ใจให้อุ่นหรือต้มจนน้ำเดือดนานเกิน 1 นาที หรืออุ่นร้อนอาหารและน้ำด้วยไมโครเวฟ
4. ในสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรมีมาตรการเข้มงวดเพื่อลดโอกาสการติดต่อทางอุจจาระสู่ปาก โดยเน้นให้ล้างมือทุกครั้งหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมและก่อนรับประทานอาหาร
5. หอยนางรม หอยกาบ และสัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก ก่อนรับประทานควรทำให้สุกด้วยความร้อน ระดับ 85-90 องศาเซลเซียส นาน 4 นาที หรือนึ่งภายใต้ความดัน 90 วินาที
วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ อีกทางหนึ่งที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ นั่นเองค่ะ โดยไวรัสตัวนี้ทำมาจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้วและหมดความสามารถในการก่อโรค เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจึงเปรียบเสมือนตัวต้านทานไวรัสตับอักเสบ เอ ที่ยังเปี่ยมเชื้อก่อโรคได้
ทั้งนี้ผู้ที่ควรได้รับวัคซีนตับอักเสบ เอ ได้แก่ ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับรุนแรง เช่น ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง นอกจากนี้ผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบอาหาร ผู้ที่อาศัยในที่แออัด และผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคสูงก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิด เอ จำนวน 2 ครั้ง โดยทิ้งห่างกัน 6-12 เดือน
ส่วนการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ในเด็ก สามารถให้ได้ในเด็กอายุ 12 เดือนขึ้นไป โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน ทว่าในคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันโรคก่อน หากพบว่ามีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนก็ได้ แต่หากยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จะฉีดก็ตามสบายเลย อ้อ ! แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ยังไม่ได้อยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นผู้ที่ประสงค์จะรับวัคซีนนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ราคาแพงไหม
ราคาวัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ จะอยู่ราว ๆ 480-2,000 บาทต่อเข็ม ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาลที่เข้ารับการฉีดวัคซีน
เห็นได้ชัดว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถป้องกันตัวเองจากไวรัสตับอักเสบ เอ ได้ แค่เพียงรักษาสุขอนามัยส่วนตัว กินอาหารและดื่มน้ำสะอาด ฉะนั้นก็อย่าชะล่าใจไม่ดูแลตัวเองจนเกิดโรคนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย