จากเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 เวลา 21.30 น. ที่ผ่านมา ได้เหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณตลาดชัณสูตร ม.8 ต.โพชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ใกล้ศาลเจ้าแม่ทับทิม เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนและเป็นตลาดเก่าแก่ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นบ้านไหม้อีกทั้งยังมีลมค่อนข้างแรงจึงทำให้ไฟไหม้อย่างรวดเร็ว กว่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้เพลิงก็ได้ลุกไหม้ไปกว่า 10 หลังคาเรือนรวมถึงบ้านของ นายวิทยา นาคสำฤทธิ์ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 186 หมู่ที่ 8 ต.โพชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งบ้านที่อยู่นั้นเพลิงได้ไหม้วอดทั้งหลัง
สอบถาม นายวิทยา ได้เล่าว่าวันที่เกิดเพลิงไหม้นั้นตนได้พาหลานไปส่งที่กรุงเทพฯ ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ซึ่งโดยปกติบ้านหลังนี้เป็นบ้านของพ่อแม่ที่อยู่มานาน ตนมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน ตนเป็นคนสุดท้องซึ่งพี่ๆ คนอื่นได้แยกย้ายมีครอบครัวไปหมดแล้ว เหลือตนอยู่ดูแลพ่อแม่เพียงลำพังเนื่องจากตนมีสุขภาพที่ไม่ดีมากๆ จึงไม่สามารถทำงานหนักได้ มีพี่คนอื่นนำหลานมาให้เลี้ยงและส่งเงินให้บ้าง หลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตไปตนซี่งไม่มีครอบครัวจึงเหลือตนกับหลานเล็กเพียง 2 คน และมาวันนี้บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดก็มาถูกไฟไหม้หมด ทำให้ตนลำบากมากเนื่องจากไม่มีที่อยู่ที่ใดเสื้อผ้าก็เหลือแค่ชุดที่ไปกรุงเทพฯ เท่านั้น ทุกวันนี้ก็ไปอาศัยนอนที่วัดกับพี่ชายที่ทำงานอยู่ในวัดแห่งหนึ่งใน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรีนายวิทยา เล่าต่อว่า หลังจากที่ไฟไหม้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเชือกมากั้นไม่ให้ใครเข้าไปเพื่อตรวจสภาพความปลอดภัย มาวันนี้ วันที่ 3 เม.ย.60 จึงอนุญาตให้เข้ามาได้ตนกับพี่ชายและพี่สะใภ้จึงเข้าไปสำรวจว่าจะเหลืออะไรได้บ้าง และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเมื่อตนไปเจอถังไม้ออมสินใส่เงินที่เคยวางไว้ที่หลังตู้ซึ่งเป็นเงินของพ่อของตนก่อนเสียชีวิตเมื่อไม่นานได้เก็บไว้ให้ตนกับหลาน ไฟได้ไหม้ทุกอย่างในบ้านรวมทั้งถังไม้ออมสินที่ไหม้ภายนอก กุญแจเล็กที่ล็อคถังออมสินไว้ก็ถูกไฟไหม้จนเปิดออก แต่เงินจำนวน 12,000 บาทที่เป็นแบงค์พันทั้งหมดในออมสินกลับไม่ไหม้เลย ตนเชื่อว่าเป็นเพราะบุญบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และความรักความห่วงใยของพ่อที่เสียไปแล้วที่ช่วยให้ตนเหลือเงินไว้ใช้ประทังชีวิตไปก่อน ถึงแม้ว่าทรัพย์สินอื่นๆ จะถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมดก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าอยากได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้าง นายวิทยา ได้ตอบพร้อมน้ำตาคลอเบ้าว่า อยากได้บ้านคืนมาเพราะตนไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ