หมอผีไม่เกรงกลัวบาป.. บังอาจทำคุณไสย หลวงพ่อคูณ
เป็นที่รู้จักกันอยู่ว่าหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิอาจารย์ผู้โด่งดัง แห่งวัดบ้านไร่ ตำบลกุตพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ท่านเคยผจญกับสิงสาราสัตว์และภูตผีวิญญาณมามากมาย หรือแม้แต่พวกพ่อมดหมอผีที่โด่งดังทางไสยศาสตร์มนต์ดำ หลวงพ่อคูณท่านก็เจอมาแล้วเช่นกัน
และท่านก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งด้วยศิลปศาสตร์ทางคาถาอาคมที่ล้ำลึก และที่เราจะกล่าวถึงหลวงพ่อคูณในบรรทัดต่อไปนี้ จะกล่าวถึงเฉพาะตอนที่ท่านได้ผจญกับหมอผีชาวบ้านป่าที่ลองดีกับท่านในครั้งหนึ่ง ขณะท่านออกธุดงค์ไปตามป่าตามเขา เพราะไปขัดผลประโยชน์เขานั่นเอง
ตอนที่หลวงพ่อคูณบำเพ็ญภาวนา อยู่ที่ภูควาย จนมีความคุ้นเคยกับชาวบ้านและผจญกับภูตผีวิญญาณอย่างเอกอุ รวมทั้งเสือโคร่งตัวเท่าม้าคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะเอาชีวิต หรือเป็นอารักขาหรือเปล่าไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้จิตใจเสือ
กับชาวบ้านหลวงพ่อคูณได้รับความศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก นอกจากท่านจะนำคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเผยแพร่แล้วหลวงพ่อคูณท่านยังช่วยเยียวยารักษาคนป่วยจากโรคร้ายต่างๆด้วยสมุนไพร ทำให้เกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า
แต่ภายใต้ความศรัทธาของชาวบ้านป่านั้น กลับไปขัดผลประโยชน์กับหมอผีอยู่กลุ่มหนึ่งที่เคยทำมาหากินกับชาวบ้านมาช้านานซึ่งทำการรักษาด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์และสมุนไพรที่รู้มางูๆปลาๆ ทำให้อาการป่วยของชาวบ้านไม่หาย ต้องเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก
มาทุเลาเบาบางลงก็ตอนที่หลวงพ่อคูณเข้าช่วยรักษาเยียวยา นี่แหละคือเหตุแห่งการอาฆาตลองดีหมายเอาชีวิต
ขั้นแรกพวกมันทำด้วยวิธีเบาะๆ ก่อนคือตกกลางคืนพวกมันจะทำเป็นผีไปหลอก เอาไม้ไปขว้างปาหรือไม่ก็ทำเป็นเสียงเสือคำรามขู่เท่านั้น แต่ต่อมาเรื่องก็ลุกลามใหญ่โตขึ้น พวกหมอผีจึงตกลงกันเรียบร้อย เพื่อเดินทางขึ้นไปหาหลวงพ่อคูณที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูควาย โดยพวกมันขึ้นไปเป็นกลุ่มอย่างเงียบๆ
ในขณะเดียวกันหลวงพ่อคูณกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ ก็มีความรู้สึกว่ามีคนไม่ต่ำกว่า 2 คนกำลังเดินมายัง กลดของท่าน ท่านนิ่งและเงี่ยหูฟังอย่างสงบเพราะยังไม่ค่อยจะมั่นใจว่าจะเสียงเดินทางมานั้นเป็นคนหรือเป็นสัตว์ แทนที่ท่านจะกลัวจนลนลานกลับตรงกันข้ามท่านกลับพินิจพิจารณาเพียงอย่างเดียว หัวใจของท่านหาได้วอกแวกไม่
จากนั้นท่านก็ร่ายพระเวทขับไล่ออกไป แทนที่เสียงนั้นจะหยุดหรือเกิดปฎิกิริยาโต้ตอบกลับเงียบ นอกจากเสียงเดินใกล้มาเป็นลำดับ จากนั้นท่านก็ได้ยินเสียงดังงึมงำสลับด้วยเสียงของก้อนหินหล่นลงใกล้กับกลดของท่าน มันเป็นอย่างนี้อยู่เกือบชั่วโมง
แรกๆ ท่านก็คิดไปว่าเป็นการกระทำของพวกภูตผีวิญญาณแต่พอมาวิเคราะห์อีกที หากเป็นการกระทำของพวกผีพวกวิญญาณมันก็มีการตอบโต้บ้างแล้ว แต่นี่มันยังไม่ยอมเลิกรา ท่านจึงมีความมั่นใจว่าเป็นการกระทำของคนที่ไม่หวังดีอย่างแน่นอน ท่านจึงได้ตะโกนสวนกลับก้อนหินที่หล่นลงกระทบพื้นด้วยเสียงงึมงำว่า พวกมึงมีอะไรกะกูก็ออกมาพูดกันดีๆ พวกมึงไม่ต้องมาทำลับๆล่อๆ กะกูอย่าอยู่ กูรู้ว่าพวกมึงนั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ กูคิดว่าพวกมึงก็คงออกมาพูดกะกูรู้เรื่อง
บรรดาหมอผีเมื่อเจอเข้าไม้นี้ก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะพระรูปนี้ไม่ใช่พระธรรมดาอย่างที่คิด เมื่อพวกมันคิดได้ดังนั้นก็เผ่นลงจากดอยทันที แต่แทนที่พวกมันจะเกรงกลัวกลับกำเริมเสิบสานหนักข้อขึ้นไปอีก
อย่างนี้มันต้องเสกหนังความเข้าท้องให้มันตายไปเลย ในเมื่อมันมาทำลายผลประโยชน์ของเรา พวกเราเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้เราทำกับข้าวไปให้มันกิน แล้วเอาหนังความเสกไปให้มันรองนั่งกินถ้ามันกินเพลินเมื่อไหร่ หนังควายเสกของเราจะห่อตัวให้เล็กลงแล้วเข้าไปในท้องของมัน
มันจะได้รับความทรมานที่สุดเมื่อหนังควายเสกไปบานในท้องมัน มันจะปวดอย่างที่สุดแล้วก็ตาย และพวกกับข้าวเราก็เอาหนาม เอาพวกก้อนหินเสกเอาพวกก้อนหินเสกบังตามันให้เป็นข้าว เมื่อมันกินเข้าไปหนามก็จะแทงลำไส้ของมันแล้วก็ทรมานตายในที่สุด
พวกหมอผีทำแบบไม่รู้บุญรู้บาป มันไม่สนใจหรอกว่าการฆ่าพระฆ่าเจ้านั้นเป็นบาปมหันต์ มันรู้แต่เพียงผลประโยชน์ที่พึงได้เล็กๆน้อยๆและความศรัทธาจากชาวบ้านคืนมาสู่พวกมันเท่านั้น และในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกมันได้เอากับข้าวไปถวายหลวงพ่อคูณบนภูควายด้วยใบหน้าที่ยิ้มระรื่น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นการกลบเกลื่อน
หลวงพ่อครับ กระผมนำข้าวปลาอาหารมาถวาย ขอท่านรับและฉันตามสบาย
มันพูดพร้อมกับถวายสำรับกับข้าว "เอาเถอะกูจะฉลองศรัทธาของพวกมึง"
แต่หลวงพ่อคูณนั้นท่านผ่านเรื่องราวแบบนี้มากมาย ท่านจึงรู้เท่าทันทุกอย่าง ก่อนที่ท่านจะรับสิ่งของจากผู้ไม่หวังดีนั้นท่านได้มองสีหน้าและท่าทางด้วยจิตว่าพวกมันมาดีหรือมาร้าย ถึงจะรู้ท่านก็ฉลองศรัทธาอย่างเต็มที่ ไม่ปฏิเสธกับข้าวคาวหวานที่อยู่ในถาด
จากนั้นพวกมันได้เอาหนังควายออกมาปู แล้วนิมนต์ให้หลวงพ่อคูณขึ้นไปนั่งเพื่อฉันอาหารที่พวกมันยกมาถวาย ท่านก็ฉลองศรัทธาด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นท่านก็ได้นั่งพิจารณาดูกับข้าวที่อยู่บนถาดอย่างถี่ถ้วน พร้อมกับได้ร่ายพระเวทในใจแล้วเป่าสำทับลงไปเป็นการทำลายมนต์ดำของชาวบ้านแบบหนามยอกก็เอาหนามบง
เพราะหลวงพ่อคูณท่านเรียนผูกและเรียนแก้มาแล้ว ท่านจึงไม่หวั่นไหวอะไรแม้แต่น้อย และแน่นอนเมื่อพวกมันเล่นบังตาด้วยอาคมท่านก็บังตาพวกมันบ้าง จากนั้นท่านก็ฉันอาหารอย่องเอร็ดอร่อย
"เสร็จกูแน่" พวกมันคิดในใจ
แต่หารู้ไม่ว่าขณะที่ท่านฉันอาหารไปนั้นท่านคอยระวังอยู่ตลอดเวลา
ท่านไม่ประมาทแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
หนังควายเสกที่ท่านนั่งทับอยู่มันกำลังหดตัวเข้าทีละนิดๆ
ท่านก็คอยเป่าอาคมลงไปมันก็คลายออก
เป็นที่รู้จักกันอยู่ว่าหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิอาจารย์ผู้โด่งดัง แห่งวัดบ้านไร่ ตำบลกุตพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ท่านเคยผจญกับสิงสาราสัตว์และภูตผีวิญญาณมามากมาย หรือแม้แต่พวกพ่อมดหมอผีที่โด่งดังทางไสยศาสตร์มนต์ดำ หลวงพ่อคูณท่านก็เจอมาแล้วเช่นกัน
และท่านก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งด้วยศิลปศาสตร์ทางคาถาอาคมที่ล้ำลึก และที่เราจะกล่าวถึงหลวงพ่อคูณในบรรทัดต่อไปนี้ จะกล่าวถึงเฉพาะตอนที่ท่านได้ผจญกับหมอผีชาวบ้านป่าที่ลองดีกับท่านในครั้งหนึ่ง ขณะท่านออกธุดงค์ไปตามป่าตามเขา เพราะไปขัดผลประโยชน์เขานั่นเอง
ตอนที่หลวงพ่อคูณบำเพ็ญภาวนา อยู่ที่ภูควาย จนมีความคุ้นเคยกับชาวบ้านและผจญกับภูตผีวิญญาณอย่างเอกอุ รวมทั้งเสือโคร่งตัวเท่าม้าคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะเอาชีวิต หรือเป็นอารักขาหรือเปล่าไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้จิตใจเสือ
กับชาวบ้านหลวงพ่อคูณได้รับความศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก นอกจากท่านจะนำคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเผยแพร่แล้วหลวงพ่อคูณท่านยังช่วยเยียวยารักษาคนป่วยจากโรคร้ายต่างๆด้วยสมุนไพร ทำให้เกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า
แต่ภายใต้ความศรัทธาของชาวบ้านป่านั้น กลับไปขัดผลประโยชน์กับหมอผีอยู่กลุ่มหนึ่งที่เคยทำมาหากินกับชาวบ้านมาช้านานซึ่งทำการรักษาด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์และสมุนไพรที่รู้มางูๆปลาๆ ทำให้อาการป่วยของชาวบ้านไม่หาย ต้องเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก
มาทุเลาเบาบางลงก็ตอนที่หลวงพ่อคูณเข้าช่วยรักษาเยียวยา นี่แหละคือเหตุแห่งการอาฆาตลองดีหมายเอาชีวิต
ขั้นแรกพวกมันทำด้วยวิธีเบาะๆ ก่อนคือตกกลางคืนพวกมันจะทำเป็นผีไปหลอก เอาไม้ไปขว้างปาหรือไม่ก็ทำเป็นเสียงเสือคำรามขู่เท่านั้น แต่ต่อมาเรื่องก็ลุกลามใหญ่โตขึ้น พวกหมอผีจึงตกลงกันเรียบร้อย เพื่อเดินทางขึ้นไปหาหลวงพ่อคูณที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูควาย โดยพวกมันขึ้นไปเป็นกลุ่มอย่างเงียบๆ
ในขณะเดียวกันหลวงพ่อคูณกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ ก็มีความรู้สึกว่ามีคนไม่ต่ำกว่า 2 คนกำลังเดินมายัง กลดของท่าน ท่านนิ่งและเงี่ยหูฟังอย่างสงบเพราะยังไม่ค่อยจะมั่นใจว่าจะเสียงเดินทางมานั้นเป็นคนหรือเป็นสัตว์ แทนที่ท่านจะกลัวจนลนลานกลับตรงกันข้ามท่านกลับพินิจพิจารณาเพียงอย่างเดียว หัวใจของท่านหาได้วอกแวกไม่
จากนั้นท่านก็ร่ายพระเวทขับไล่ออกไป แทนที่เสียงนั้นจะหยุดหรือเกิดปฎิกิริยาโต้ตอบกลับเงียบ นอกจากเสียงเดินใกล้มาเป็นลำดับ จากนั้นท่านก็ได้ยินเสียงดังงึมงำสลับด้วยเสียงของก้อนหินหล่นลงใกล้กับกลดของท่าน มันเป็นอย่างนี้อยู่เกือบชั่วโมง
แรกๆ ท่านก็คิดไปว่าเป็นการกระทำของพวกภูตผีวิญญาณแต่พอมาวิเคราะห์อีกที หากเป็นการกระทำของพวกผีพวกวิญญาณมันก็มีการตอบโต้บ้างแล้ว แต่นี่มันยังไม่ยอมเลิกรา ท่านจึงมีความมั่นใจว่าเป็นการกระทำของคนที่ไม่หวังดีอย่างแน่นอน ท่านจึงได้ตะโกนสวนกลับก้อนหินที่หล่นลงกระทบพื้นด้วยเสียงงึมงำว่า พวกมึงมีอะไรกะกูก็ออกมาพูดกันดีๆ พวกมึงไม่ต้องมาทำลับๆล่อๆ กะกูอย่าอยู่ กูรู้ว่าพวกมึงนั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ กูคิดว่าพวกมึงก็คงออกมาพูดกะกูรู้เรื่อง
บรรดาหมอผีเมื่อเจอเข้าไม้นี้ก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะพระรูปนี้ไม่ใช่พระธรรมดาอย่างที่คิด เมื่อพวกมันคิดได้ดังนั้นก็เผ่นลงจากดอยทันที แต่แทนที่พวกมันจะเกรงกลัวกลับกำเริมเสิบสานหนักข้อขึ้นไปอีก
อย่างนี้มันต้องเสกหนังความเข้าท้องให้มันตายไปเลย ในเมื่อมันมาทำลายผลประโยชน์ของเรา พวกเราเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้เราทำกับข้าวไปให้มันกิน แล้วเอาหนังความเสกไปให้มันรองนั่งกินถ้ามันกินเพลินเมื่อไหร่ หนังควายเสกของเราจะห่อตัวให้เล็กลงแล้วเข้าไปในท้องของมัน
มันจะได้รับความทรมานที่สุดเมื่อหนังควายเสกไปบานในท้องมัน มันจะปวดอย่างที่สุดแล้วก็ตาย และพวกกับข้าวเราก็เอาหนาม เอาพวกก้อนหินเสกเอาพวกก้อนหินเสกบังตามันให้เป็นข้าว เมื่อมันกินเข้าไปหนามก็จะแทงลำไส้ของมันแล้วก็ทรมานตายในที่สุด
พวกหมอผีทำแบบไม่รู้บุญรู้บาป มันไม่สนใจหรอกว่าการฆ่าพระฆ่าเจ้านั้นเป็นบาปมหันต์ มันรู้แต่เพียงผลประโยชน์ที่พึงได้เล็กๆน้อยๆและความศรัทธาจากชาวบ้านคืนมาสู่พวกมันเท่านั้น และในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกมันได้เอากับข้าวไปถวายหลวงพ่อคูณบนภูควายด้วยใบหน้าที่ยิ้มระรื่น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นการกลบเกลื่อน
หลวงพ่อครับ กระผมนำข้าวปลาอาหารมาถวาย ขอท่านรับและฉันตามสบาย
มันพูดพร้อมกับถวายสำรับกับข้าว "เอาเถอะกูจะฉลองศรัทธาของพวกมึง"
แต่หลวงพ่อคูณนั้นท่านผ่านเรื่องราวแบบนี้มากมาย ท่านจึงรู้เท่าทันทุกอย่าง ก่อนที่ท่านจะรับสิ่งของจากผู้ไม่หวังดีนั้นท่านได้มองสีหน้าและท่าทางด้วยจิตว่าพวกมันมาดีหรือมาร้าย ถึงจะรู้ท่านก็ฉลองศรัทธาอย่างเต็มที่ ไม่ปฏิเสธกับข้าวคาวหวานที่อยู่ในถาด
จากนั้นพวกมันได้เอาหนังควายออกมาปู แล้วนิมนต์ให้หลวงพ่อคูณขึ้นไปนั่งเพื่อฉันอาหารที่พวกมันยกมาถวาย ท่านก็ฉลองศรัทธาด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นท่านก็ได้นั่งพิจารณาดูกับข้าวที่อยู่บนถาดอย่างถี่ถ้วน พร้อมกับได้ร่ายพระเวทในใจแล้วเป่าสำทับลงไปเป็นการทำลายมนต์ดำของชาวบ้านแบบหนามยอกก็เอาหนามบง
เพราะหลวงพ่อคูณท่านเรียนผูกและเรียนแก้มาแล้ว ท่านจึงไม่หวั่นไหวอะไรแม้แต่น้อย และแน่นอนเมื่อพวกมันเล่นบังตาด้วยอาคมท่านก็บังตาพวกมันบ้าง จากนั้นท่านก็ฉันอาหารอย่องเอร็ดอร่อย