ปัสสาวะบ่อย จนดูเหมือนไม่ปกติ อาการปวดเบาบ่อยเกินไปแบบนี้ส่ออาการผิดปกติได้ถึง 13 อาการเลยนะ รู้ยัง ?
โดยเฉลี่ยแล้วเราจะปัสสาวะประมาณ 3-5 ครั้ง ในตอนกลางวัน และนับจากช่วงเย็นไปก็จะปัสสาวะราว ๆ 1-2 ครั้งในตอนกลางคืน แต่หากช่วงความถี่ของการลุกไปเข้าห้องน้ำของคุณบ่อยครั้งกว่าที่กล่าวไป ถ้าไม่นับว่าดื่มน้ำมากเกินปกติ อาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ อาจส่อถึงปัญหาสุขภาพว่ามีอาการหรือโรคดังต่อไปนี้ซ่อนอยู่ก็ได้
1. ขนาดกระเพาะปัสสาวะเล็กกว่าปกติ
โดยปกติแล้วกระเพาะปัสสาวะจะเก็บน้ำได้ราว ๆ 300-500 cc จึงจะรู้สึกปวดถ่าย ทว่าในบางคนอาจมีขนาดกระเพาะปัสสาวะที่เล็กกว่านั้น ซึ่งอาจกักเก็บน้ำได้น้อยกว่า 300 cc ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยกว่าคนอื่นได้
ทว่าปัญหานี้ก็ไม่น่ากังวลในด้านสุขภาพสักเท่าไรค่ะ เพียงแต่อาจก่อความรู้สึกรำคาญให้บ้างเท่านั้น และ Betsy A. B. Greenleaf นักนรีเวชทางเดินปัสสาวะ จากรัฐนิว เจอร์ซี อเมริกา ยังได้แนะนำวิธีฝึกเพื่อรักษาอาการปัสสาวะบ่อยในคนที่มีกระเพาะปัสสาวะขนาดเล็กมาดังนี้
- ปัสสาวะทุก ๆ 30 นาที ไม่ว่าจะรู้สึกปวดหรือไม่ปวดก็ตาม ทำอย่างนี้ไปประมาณ 1-2 วัน
- วันต่อมาให้ยืดเวลาในการไปเข้าห้องน้ำให้เป็น 45 นาที ทำติดต่อกัน 2 วัน
- จากนั้นก็ยืดเวลาเข้าไปอีก 15 นาทีเรื่อย ๆ จนกว่าจะปัสสาวะไม่เกิน 8 ครั้งต่อวันได้
2. ตั้งครรภ์
ปัสสาวะบ่อย กับการตั้งครรภ์มีเหตุผลที่รองรับกันอยู่ โดยระดับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ จะไปทำให้ไตขยายตัวขึ้นประมาณ 1.5 เซนติเมตร ส่งผลให้มดลูกและกระเพาะปัสสาวะขยายตัวออก เป็นสาเหตุทำให้เกิดความรู้สึกแน่นท้อง และทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกตินั่นเอง
3. ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือมีนิ่วในไต
การมีสิ่งที่ก่อความระคายเคืองหรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในปัสสาวะอาจทำให้รู้สึกอยากฉี่บ่อยครั้งขึ้น โดยหากมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยร่วมกับรู้สึกเจ็บหลังหรือบริเวณสีข้างอาจเป็นเพราะนิ่วในไต
ส่วนในกรณีที่รู้สึกปวดปัสสาวะมาก ๆ ปวดแบบแทบกลั้นไม่อยู่ แต่ฉี่ได้ครั้งละไม่มาก แบบนี้อาจส่อถึงอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
4. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ Cystitis เกิดจากแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา โดยเชื้อชนิดนี้จะเข้าไปทางท่อปัสสาวะ จึงมักพบผู้หญิงป่วยด้วยโรคนี้มากกว่าผู้ชายหลายเท่า เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนัก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมากนั่นเอง
โดยสังเกตได้ง่าย ๆ สำหรับเคสที่เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะมีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดปัสสาวะบ่อย แต่รู้สึกปัสสาวะออกไม่สุด มักปวดขัด หรือแสบร้อนเวลาปัสสาวะ บางคนอาจปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะด้วย
5. โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
ภาวะที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป ทำให้ให้รู้สึกปวดฉี่บ่อยกว่าปกติ บางคนปวดปัสสาวะ 2-3 ครั้งต่อชั่วโมงเลยก็มี และหากอยู่ในที่เย็น ๆ จะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ปวดมากชนิดที่ต้องเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน บางครั้งอาจมีปัสสาวะเล็ด หรืออาจมีอาการเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย อาการจะคล้าย ๆ กับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบธรรมดา แต่จะเป็นค่อนข้างเรื้อรังเป็นเวลานาน
6. ยาบางชนิด
ยาชนิดน้ำหรือยาในกลุ่มขับปัสสาวะ รวมทั้งยาในกลุ่มแอนติโคลิเนอร์จิก เช่น ยากลุ่มประสาทและยาคลายเครียด อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย ๆ ได้ ดังนั้นหากรับประทานยาเหล่านี้อยู่ก็ไม่ต้องกังวลกับการปวดปัสสาวะและลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกตินะคะ
7. โรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะทำให้ไตทำงานหนักและอาจขับน้ำตาลส่วนเกินนั้นมาที่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งก็ส่งผลให้รู้สึกปวดฉี่บ่อย ๆ ได้ หรือบางเคสที่เป็นโรคเบาหวานและเกิดอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย อาการปัสสาวะบ่อยมากก็อาจเกิดขึ้นกับคุณ ซึ่งทางที่ดีลองไปตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจะชัดเจนกว่า
8. ความเสื่อมของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
โดยมากมักจะเกิดกับผู้สูงอายุหรือวัยกลางคนที่ทำงานหนัก ๆ ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้กระเพาะปัสสาวะหดรัดตัว และยังส่งผลให้ความยืดหยุ่นของกระเพาะปัสสาวะเสียไป จึงรู้สึกปวดถ่ายปัสสาวะบ่อย และมักจะมีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ
9. ไตเสื่อม
ปัสสาวะบ่อย ๆ อาจเกิดจากภาวะไตเสื่อมก็เป็นได้ เนื่องจากหากไตทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ระบบคัดกรองเสื่อมประสิทธิภาพลง น้ำในร่างกายอาจตกหล่นมาที่กระเพาะปัสสาวะมากกว่าปกติ ทำให้รู้สึกปวดฉี่บ่อย
10. ปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
พบบ่อยที่สุดคือโรคต่อมลูกหมากโต ซึ่งอาจไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการระคายเคืองจนต้องขับปัสสาวะออกมาถี่กว่าเดิม แต่ปริมาณปัสสาวะจะออกแบบกะปริบกะปรอย
11. สโตรกและโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท
จากปัญหาสุขภาพในส่วนนี้อาจทำให้ระบบประสาทในส่วนที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะเสื่อมลงด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่าอาจทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย ๆ หรือบางรายอาจควบคุมการขับถ่ายไม่ได้เลย
12. อ้วนเกินไปแล้ว
น้ำหนักตัวที่มากขึ้นจะเพิ่มแรงดันให้กระเพาะปัสสาวะมากขึ้นไปด้วย จุดนี้จึงทำให้คนที่มีน้ำหนักเกินปวดฉี่บ่อยกว่าคนที่มีรูปร่างดียังไงล่ะ
13. เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ
เนื้องอกชนิดนี้อาจเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ร้ายก็ได้ ทว่ามักพบมากกับเพศชายที่สูบบุหรี่ โดยเนื้องอกจะเข้าไปกดทับกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดการบีบตัวบ่อยขึ้น รวมทั้งอาจมีอาการปัสสาวะติดขัด มีเลือดปนมากับปัสสาวะได้ ซึ่งการวินิจฉัยต้องส่องกล้องเข้าไปดู
ทว่าอัตราการเกิดเนื้อร้ายหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะยังค่อนข้างพบได้น้อยอยู่นะคะ เบาใจไปได้นิดหน่อยเนอะ
นอกจากน้ำดื่มแล้วยังมีอาหารชนิดอื่น ๆ อีกไม่น้อยที่ทำให้รู้สึกปวดฉี่บ่อยผิดปกติได้ ส่วนอาหารต้นเหตุที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น แนะนำให้อ่านจากนี่เลย
- ปวดปัสสาวะบ่อยจัง เพราะอาหารเหล่านี้รึเปล่านะ ?
อย่างไรก็ตาม อาการปวดปัสสาวะบ่อยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งควรต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจหาสาเหตุ ดังนั้นหากรู้สึกได้ว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยเกินไป ก็ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ อย่าปล่อยไว้เลยดีกว่า รวมทั้งควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมการขับถ่ายของตัวเอง และรักษาสุขอนามัยที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปัสสาวะให้ดีด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Prevention
WebMD
Health.com
โดยเฉลี่ยแล้วเราจะปัสสาวะประมาณ 3-5 ครั้ง ในตอนกลางวัน และนับจากช่วงเย็นไปก็จะปัสสาวะราว ๆ 1-2 ครั้งในตอนกลางคืน แต่หากช่วงความถี่ของการลุกไปเข้าห้องน้ำของคุณบ่อยครั้งกว่าที่กล่าวไป ถ้าไม่นับว่าดื่มน้ำมากเกินปกติ อาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ อาจส่อถึงปัญหาสุขภาพว่ามีอาการหรือโรคดังต่อไปนี้ซ่อนอยู่ก็ได้
1. ขนาดกระเพาะปัสสาวะเล็กกว่าปกติ
โดยปกติแล้วกระเพาะปัสสาวะจะเก็บน้ำได้ราว ๆ 300-500 cc จึงจะรู้สึกปวดถ่าย ทว่าในบางคนอาจมีขนาดกระเพาะปัสสาวะที่เล็กกว่านั้น ซึ่งอาจกักเก็บน้ำได้น้อยกว่า 300 cc ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยกว่าคนอื่นได้
ทว่าปัญหานี้ก็ไม่น่ากังวลในด้านสุขภาพสักเท่าไรค่ะ เพียงแต่อาจก่อความรู้สึกรำคาญให้บ้างเท่านั้น และ Betsy A. B. Greenleaf นักนรีเวชทางเดินปัสสาวะ จากรัฐนิว เจอร์ซี อเมริกา ยังได้แนะนำวิธีฝึกเพื่อรักษาอาการปัสสาวะบ่อยในคนที่มีกระเพาะปัสสาวะขนาดเล็กมาดังนี้
- ปัสสาวะทุก ๆ 30 นาที ไม่ว่าจะรู้สึกปวดหรือไม่ปวดก็ตาม ทำอย่างนี้ไปประมาณ 1-2 วัน
- วันต่อมาให้ยืดเวลาในการไปเข้าห้องน้ำให้เป็น 45 นาที ทำติดต่อกัน 2 วัน
- จากนั้นก็ยืดเวลาเข้าไปอีก 15 นาทีเรื่อย ๆ จนกว่าจะปัสสาวะไม่เกิน 8 ครั้งต่อวันได้
2. ตั้งครรภ์
ปัสสาวะบ่อย กับการตั้งครรภ์มีเหตุผลที่รองรับกันอยู่ โดยระดับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้นในหญิงตั้งครรภ์ จะไปทำให้ไตขยายตัวขึ้นประมาณ 1.5 เซนติเมตร ส่งผลให้มดลูกและกระเพาะปัสสาวะขยายตัวออก เป็นสาเหตุทำให้เกิดความรู้สึกแน่นท้อง และทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกตินั่นเอง
3. ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือมีนิ่วในไต
การมีสิ่งที่ก่อความระคายเคืองหรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในปัสสาวะอาจทำให้รู้สึกอยากฉี่บ่อยครั้งขึ้น โดยหากมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยร่วมกับรู้สึกเจ็บหลังหรือบริเวณสีข้างอาจเป็นเพราะนิ่วในไต
ส่วนในกรณีที่รู้สึกปวดปัสสาวะมาก ๆ ปวดแบบแทบกลั้นไม่อยู่ แต่ฉี่ได้ครั้งละไม่มาก แบบนี้อาจส่อถึงอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
4. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ Cystitis เกิดจากแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา โดยเชื้อชนิดนี้จะเข้าไปทางท่อปัสสาวะ จึงมักพบผู้หญิงป่วยด้วยโรคนี้มากกว่าผู้ชายหลายเท่า เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนัก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมากนั่นเอง
โดยสังเกตได้ง่าย ๆ สำหรับเคสที่เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะมีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดปัสสาวะบ่อย แต่รู้สึกปัสสาวะออกไม่สุด มักปวดขัด หรือแสบร้อนเวลาปัสสาวะ บางคนอาจปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะด้วย
5. โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
ภาวะที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป ทำให้ให้รู้สึกปวดฉี่บ่อยกว่าปกติ บางคนปวดปัสสาวะ 2-3 ครั้งต่อชั่วโมงเลยก็มี และหากอยู่ในที่เย็น ๆ จะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ปวดมากชนิดที่ต้องเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน บางครั้งอาจมีปัสสาวะเล็ด หรืออาจมีอาการเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย อาการจะคล้าย ๆ กับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบธรรมดา แต่จะเป็นค่อนข้างเรื้อรังเป็นเวลานาน
6. ยาบางชนิด
ยาชนิดน้ำหรือยาในกลุ่มขับปัสสาวะ รวมทั้งยาในกลุ่มแอนติโคลิเนอร์จิก เช่น ยากลุ่มประสาทและยาคลายเครียด อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย ๆ ได้ ดังนั้นหากรับประทานยาเหล่านี้อยู่ก็ไม่ต้องกังวลกับการปวดปัสสาวะและลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกตินะคะ
7. โรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะทำให้ไตทำงานหนักและอาจขับน้ำตาลส่วนเกินนั้นมาที่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งก็ส่งผลให้รู้สึกปวดฉี่บ่อย ๆ ได้ หรือบางเคสที่เป็นโรคเบาหวานและเกิดอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย อาการปัสสาวะบ่อยมากก็อาจเกิดขึ้นกับคุณ ซึ่งทางที่ดีลองไปตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดจะชัดเจนกว่า
8. ความเสื่อมของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
โดยมากมักจะเกิดกับผู้สูงอายุหรือวัยกลางคนที่ทำงานหนัก ๆ ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้กระเพาะปัสสาวะหดรัดตัว และยังส่งผลให้ความยืดหยุ่นของกระเพาะปัสสาวะเสียไป จึงรู้สึกปวดถ่ายปัสสาวะบ่อย และมักจะมีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ จาม หรือเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ
9. ไตเสื่อม
ปัสสาวะบ่อย ๆ อาจเกิดจากภาวะไตเสื่อมก็เป็นได้ เนื่องจากหากไตทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ระบบคัดกรองเสื่อมประสิทธิภาพลง น้ำในร่างกายอาจตกหล่นมาที่กระเพาะปัสสาวะมากกว่าปกติ ทำให้รู้สึกปวดฉี่บ่อย
10. ปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
พบบ่อยที่สุดคือโรคต่อมลูกหมากโต ซึ่งอาจไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการระคายเคืองจนต้องขับปัสสาวะออกมาถี่กว่าเดิม แต่ปริมาณปัสสาวะจะออกแบบกะปริบกะปรอย
11. สโตรกและโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท
จากปัญหาสุขภาพในส่วนนี้อาจทำให้ระบบประสาทในส่วนที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะเสื่อมลงด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่าอาจทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย ๆ หรือบางรายอาจควบคุมการขับถ่ายไม่ได้เลย
12. อ้วนเกินไปแล้ว
น้ำหนักตัวที่มากขึ้นจะเพิ่มแรงดันให้กระเพาะปัสสาวะมากขึ้นไปด้วย จุดนี้จึงทำให้คนที่มีน้ำหนักเกินปวดฉี่บ่อยกว่าคนที่มีรูปร่างดียังไงล่ะ
13. เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ
เนื้องอกชนิดนี้อาจเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ร้ายก็ได้ ทว่ามักพบมากกับเพศชายที่สูบบุหรี่ โดยเนื้องอกจะเข้าไปกดทับกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดการบีบตัวบ่อยขึ้น รวมทั้งอาจมีอาการปัสสาวะติดขัด มีเลือดปนมากับปัสสาวะได้ ซึ่งการวินิจฉัยต้องส่องกล้องเข้าไปดู
ทว่าอัตราการเกิดเนื้อร้ายหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะยังค่อนข้างพบได้น้อยอยู่นะคะ เบาใจไปได้นิดหน่อยเนอะ
นอกจากน้ำดื่มแล้วยังมีอาหารชนิดอื่น ๆ อีกไม่น้อยที่ทำให้รู้สึกปวดฉี่บ่อยผิดปกติได้ ส่วนอาหารต้นเหตุที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น แนะนำให้อ่านจากนี่เลย
- ปวดปัสสาวะบ่อยจัง เพราะอาหารเหล่านี้รึเปล่านะ ?
อย่างไรก็ตาม อาการปวดปัสสาวะบ่อยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งควรต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจหาสาเหตุ ดังนั้นหากรู้สึกได้ว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยเกินไป ก็ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ อย่าปล่อยไว้เลยดีกว่า รวมทั้งควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมการขับถ่ายของตัวเอง และรักษาสุขอนามัยที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปัสสาวะให้ดีด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Prevention
WebMD
Health.com