15 อาหารช่วยย่อย ขับลม กินให้หายตรมจากอาการท้องอืด !

  ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปัญหาหนักอกตอนที่เราเผลอหม่ำของอร่อยเยอะไปหน่อย แล้วถ้าเกิดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืดแบบนี้ กินอะไรดีถึงจะหาย

          เวลาที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องหลังจากรับประทานอาหาร เชื่อว่าหลายคนคงอยู่ไม่ค่อยสุข เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งเผื่ออาการท้องอืดท้องเฟ้อจะบรรเทาลงได้ แต่ช้าก่อนค่ะ...ไม่ต้องวุ่นวายใจถึงขนาดนั้น เพราะอาการท้องอืด แน่นท้อง เราแก้ด้วยอาหารช่วยย่อย เหล่านี้ได้เลย


วิธีแก้ท้องอืด

1. น้ำมะนาว
          ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะบอกว่าน้ำมะนาวช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แถมยังช่วยย่อยอาหารให้เราได้ เพราะกรดในมะนาวจะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้อาหารในกระเพาะอาหารถูกย่อยเร็วขึ้น ส่วนการดื่มน้ำมะนาวก็จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกาย ช่วยขับโซเดียมที่คั่งค้างอยู่ในกระแสเลือด ช่วยให้อาการท้องอืดหายได้ในที่สุด

          โดยวิธีดื่น้ำมะนาวแก้อาหารไม่ย่อย ก็เพียงแค่บีบมะนาวครึ่งลูกใส่น้ำอุ่น 1 แก้วกาแฟ คนให้เข้ากันดีแล้วจิบบ่อย ๆ เท่านั้นเองค่ะ

วิธีแก้ท้องอืด

2. ชาคาโมมายล์


        สรรพคุณของดอกคาโมมายล์นอกจากช่วยทำให้นอนหลับสบายแล้วยังช่วยเรื่องขับลม บรรเทาอาการอักเสบและยับยั้งการเกิดแผลในทางเดินอาหาร โดยในบ้านเราจะมีวางขายในแบบดอกอบแห้ง จับมาชงด้วยน้ำร้อนประมาณ 150 ซีซี แช่ประมาณ 5-10 นาที แล้วกรองกากออก หรือจะซื้อในรูปแบบชาคาโมมายล์มาชงดื่มก็ได้เช่นกันค่ะ

วิธีแก้ท้องอืด

3. ชาใบกะเพรา
          ใครที่อาหารไม่ย่อย มีอาการท้องอืด แน่นท้องมาก ลองมาดื่มน้ำต้มกะเพราดูก็ได้ค่ะ โดยใช้ใบสดสัก 1 กำมือมาต้มกับน้ำเดือด จากนั้นกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือใช้ใบกะเพราตากแห้งมาชงน้ำร้อนดื่มก็ช่วยได้เช่นกัน

วิธีแก้ท้องอืด

4. น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล

          สำหรับใครที่มักจะท้องอืดท้องเฟ้อ มีลมในกระเพาะอาหารมาก ๆ โดยเฉพาะหลังจากกินอาหารจังก์ฟู้ด น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลช่วยได้ค่ะ โดยนำน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งผสมกับน้ำอุ่น แล้วค่อย ๆ จิบตอนที่ยังร้อน จะช่วยให้แก๊สในกระเพาะอาหารลดลง อีกทั้งน้ำผึ้งที่ผสมลงไปยังช่วยลดอาการแสบร้อนที่กลางอกได้ด้วย

วิธีแก้ท้องอืด

5. มะละกอ


          มะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง จึงสามารถช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปได้ อีกทั้งในมะละกอยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ร่างกายย่อยไม่หมดมากับการขับถ่าย ส่งผลให้อาการแน่นท้อง ท้องอืด และอาการอาหารไม่ย่อยบรรเทาลงได้

วิธีแก้ท้องอืด

6. มะเขือเทศ

          นอกจากมีประโยชน์ต่อผิวพรรณแล้ว มะเขือเทศก็มีสรรพคุณช่วยลดอาการท้องอืด แน่นท้องได้เหมือนกัน เพราะมะเขือเทศมีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการท้องป่องจากภาวะบวมน้ำ โดยใครถนัดกินมะเขือเทศสด ๆ ก็จัดไป แต่ใครจะกินเป็นน้ำมะเขือเทศก็ช่วยได้เหมือนกัน

วิธีแก้ท้องอืด

7. สับปะรด


          สำหรับคนที่มีอาการท้องอืด แน่นท้องจากการรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป แนะนำให้กินสับปะรดตามไปสัก 2-3 ชิ้นขนาดกลาง ๆ หรือจะดื่มน้ำสับปะรดปั่นสักครึ่งผลขนาดเล็กก็ได้ เนื่องจากเอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) ในสับปะรดมีฤทธิ์ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง ทำให้ร่างกายย่อยเนื้อสัตว์เหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเอนไซม์ในสับปะรดยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร และสมานแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

วิธีแก้ท้องอืด

8. แตงกวา

          แตงกวามีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะมาก อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ส่งผลให้อาหารที่เรากินเข้าไปจะถูกย่อยเร็วขึ้น นอกจากนี้น้ำจากแตงกวายังจะช่วยร่างกายขับโซเดียม ตัวการทำให้ท้องป่อง ท้องอืดได้อีกทางด้วยค่ะ โดยจะกินแตงกวาแกล้มอาหาร หรือจะนำแตงกวาไปปั่นเป็นสมูทตี้ผสมน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติก็ได้เช่นกัน

วิธีแก้ท้องอืด

9. กล้วย

          กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง มีสรรพคุณช่วยลดอาการบวมน้ำด้วยวิธีลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย อีกทั้งไฟเบอร์จากกล้วยยังช่วยแก้อาการท้องผูกได้ด้วยนะคะ ดังนั้นคนที่มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ร่วมกับอาการท้องผูกด้วย กินกล้วยก็ช่วยได้หมดทุกปัญหาเลย

วิธีแก้ท้องอืด

10. โยเกิร์ต


          โยเกิร์ตเป็นแหล่งอุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์ ที่มีความสำคัญต่อระบบย่อยอาหาร สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียชนิดที่ดีในลำไส้ อีกทั้งลดอาการอักเสบในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงมากเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าอยากให้ได้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นก็หาผลไม้อย่างเช่น มะละกอ สับปะรด หรือแอปเปิลมาเติมลงไปในโยเกิร์ตด้วย ก็จะทำให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์มากขึ้น แถมยังได้สารช่วยย่อยอาหารจากผลไม้เหล่านี้ด้วย

วิธีแก้ท้องอืด

11. ขิง


          หากคุณรู้สึกท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยให้จิบชาน้ำขิงหรือกินขิงสดก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น เพราะขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน สามารถช่วยขับลม และกระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้ อาการท้องอืดบรรเทาลงได้

วิธีแก้ท้องอืด

12. กระเทียม


          สรรพคุณของกระเทียมนอกจากจะช่วยลดระดับไขมัน ลดความดันโลหิตสูง และส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นแล้ว กระเทียมยังมีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหารด้วยนะคะ เพราะในกระเทียมมีสารที่ช่วยเพิ่มน้ำย่อยและน้ำดีในระบบย่อยอาหาร ส่งผลให้อวัยวะในระบบทางเดินอาหารจัดการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          ดังนั้นใครที่ชอบปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อยอยู่บ่อย ๆ ให้กินกระเทียมซอยหลังมื้ออาหารทันทีแล้วอาการท้องอืดจะค่อย ๆ ทุเลาลงค่ะ หรือใครไม่สะดวกกับการกินกระเทียมสด จะเลือกรับประทานกระเทียมอัดเม็ดแทนก็ได้

วิธีแก้ท้องอืด

13. พริกไทยดำ


          พริกไทยมีคุณสมบัติในการขับลม และแก้ท้องอืด ดังนั้นจึงเป็นเครื่องเทศที่ไม่ควรพลาดในช่วงที่อาการท้องอืดมากวนใจ โดยวิธีใช้พริกไทยดำแก้ท้องอืดก็ง่าย ๆ ค่ะ แค่เพียงโรยพริกไทยดำลงไปในอาหารสักหน่อย แล้วรับประทาน กลิ่นฉุน ๆ จากพริกไทยดำจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แถมยังช่วยบรรเทาอาการอืดท้องไปพร้อมกัน

วิธีแก้ท้องอืด

14. กิมจิ


          กิมจิหรือผักดองของเกาหลีก็มีประโยชน์ในด้านช่วยลดอาการท้องอืด และอาหารไม่ย่อยได้ค่ะ เพราะในกิมจิจะมีโพรไบโอติกส์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญกิมจิยังเป็นเครื่องเคียงที่มีผักรวมกันหลายชนิด ไฟเบอร์เพียบ ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้เป็นอย่างดี
วิธีแก้ท้องอืด

15. เทียนข้าวเปลือกหรือยี่หร่าหวาน


          เทียนข้าวเปลือก หรือยี่หร่าหวาน (Sweet Fennel) มีสีนวลคล้ายข้าวเปลือก เม็ดอ้วนและใหญ่กว่ายี่หร่าที่เป็นเครื่องเทศ ส่วนใหญ่จะนำเมล็ดแห้งมาบดชงดื่มช่วยแก้อาหารไม่ย่อย ช่วยขับลม รวมถึงใช้ขับเสมหะและแก้ไอได้อีกด้วย

          ถ้าเผลอหม่ำเยอะบ่อย ๆ จนส่งผลให้เกิดอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรืออาการท้องอืด ยังไงลองกินอาหารช่วยย่อยทั้ง 15 ชนิดนี้เพื่อบรรเทาอาการดูนะคะ
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

everydayhealth
doctoroz
health
redbookmag