โรคหน้าหนาว อาการเจ็บป่วยที่มากับอากาศที่หนาวเย็น มาดูกันสิว่าฤดูนี้นำพาโรคภัยไข้เจ็บอะไรมาบ้าง
1. โรคปอดบวม
2. ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่
3. โรคท้องร่วง
4. โรคอีสุกอีใส
5. โรคมือเท้าปาก
6. โรคหัด
7. โรคหัดเยอรมัน
8. ผื่นผิวหนังอักเสบ
เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ อากาศหนาว ๆ หรือลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านมาเท่านั้น
แต่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
ที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงอากาศเย็นก็จะมาเยือนเราด้วย
ที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้นโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือ
โรคปอดบวม
แต่รู้หรือเปล่าว่านอกเหนือจากโรคเหล่านี้ยังมีอาการเจ็บป่วยอีกหลายอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าหนาว
ไม่ว่ากับทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมได้หยิบยกโรคที่เกิดในช่วงฤดูหนาวมาฝาก ยิ่งรู้เร็ว
ก็ยิ่งป้องกันได้เร็ว จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดสนุกกับอากาศเย็น ๆ ไงล่ะคะ
ในช่วงฤดูหนาว เป็นช่วงที่มีอากาศเย็นมากกว่าในช่วงฤดูอื่น ๆ
ของปี
ซึ่งเป็นสาเหตุให้เชื้อไวรัสบางชนิดแพร่กระจายได้ง่ายกว่าในช่วงที่มีอากาศร้อน
เพราะเชื้อไวรัสเหล่านั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้นหากอยู่ในสภาพอากาศที่เย็น
โดยโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในช่วงฤดูหนาวที่ควรระมัดระวังมีดังนี้
โรคปอดบวมคือภาวะที่เกิดขึ้นจากอาการปอดอักเสบ
ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราบางชนิด
โดยเมื่อเกิดอาการปอดบวมจะทำให้มีหนองและสารน้ำอย่างอื่นในถุงลม
ส่งผลทำให้ร่างกายไม่สามารถรับออกซิเจนได้อย่างเต็มที่
ทำให้เกิดการขาดออกซิเจนและอาจทำให้เสียชีวิตได้ หากรักษาไม่ทัน
โรคปอดบวมมักจะระบาดในช่วงที่มีอากาศเย็นและชื้น
นั่นก็คือในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงมีนาคม
เนื่องจากเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคปอดบวมมักจะเจริญเติบโตได้ดีในอาการที่เย็นและชื้น
สามารถติดต่อผ่านทางการหายใจ น้ำมูกและน้ำลาย
อาการของโรค
อาการของโรคปอดบวมที่เห็นได้ชัดเจนก็ได้แก่ ไอ เหนื่อย
หายใจเร็ว หากอาการรุนแรงจะหายใจได้ลำบาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
หากมีอาการรุนแรงจะสังเกตได้ว่าเวลาหายใจ บริเวณใต้ชายโครงจะบุ๋มเข้าไปด้วย
หากสังเกตที่จมูกก็อาจจะเห็นจมูกบานเวลาหายใจเข้าด้วย
นอกจากนี้อาจจะมีไข้สูง หรือ ไข้ต่ำ ๆ
บางรายอาจจะมีอาการริมฝีปากเขียวเนื่องจากการขาดออกซิเจน
รวมทั้งอาการปวดท้อง อาเจียน และถ่ายเหลวร่วมด้วย
วิธีป้องกัน
วิธีการป้องกันโรคปอดบวมที่ดีที่สุดก็คือหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดโดยไม่จำเป็น
และถ้าหากเป็นไข้หวัดก็ควรพักรักษาตัวอยู่บ้าน ล้างมือบ่อย ๆ และนอนพักมาก
ๆ รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น
เพื่อไม่ให้โรคไข้หวัดกลายเป็นเป็นโรคปอดบวมค่ะ
นอกจากนี้การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็สามารถช่วยได้ โดยเฉพาะในเด็ก
ควรจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดและไอกรน
เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคปอดบวมค่ะ
2. ไข้หวัด-ไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูหนาวเป็นโรคที่มักจะเป็นกันได้บ่อย
เนื่องจากอาการที่เย็น
และเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนั้นจะเจริญเติบโตในอากาศเย็น ๆ
ได้ดีกว่าอากาศร้อน โดยส่วนใหญ่แล้ว โรคไข้หวัดทั่วไป จะมีอาการเพียงแค่ 1 สัปดาห์แล้วก็จะหายเป็นปกติ แต่โรคไข้หวัดใหญ่นั้นจะมีอาการที่รุนแรงกว่า หากรักษาไม่ถูกต้อง และทิ้งเอาไว้นานเกินไปอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
อาการของโรค
อาการของโรคไข้หวัดทั่วไปจะประกอบด้วยอาการไอ
จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ระคายคอ และมีไข้ ซึ่งจะหายไปภายในเวลา 1 สัปดาห์
ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนอาการของโรคไข้หวัดใหญ่นั้นจะมีไข้สูงมาก ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ จะมีอาการไม่ชัดเจน ทำให้อาจมีไข้ อ่อนเพลีย ซึม สับสน และมึนงง รวมทั้งช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง
นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจวาย เบาหวาน โรคไตวาย หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ดังนั้นหากเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพริน นอกจากแพทย์จะเป็นคนสั่ง ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงเท่านั้น
นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจวาย เบาหวาน โรคไตวาย หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ดังนั้นหากเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพริน นอกจากแพทย์จะเป็นคนสั่ง ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงเท่านั้น
วิธีป้องกัน
การพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นล้างมือและดื่มน้ำบ่อย ๆ
เป็นวิธีที่จะช่วยทำให้โรคไข้หวัดหายได้เร็วขึ้น
และหากในกลุ่มที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง
เพื่อให้อาการทุเลาลง นอกจากนี้ในปัจจุบันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ซึ่งวัคซีนดังกล่าวจะสามารถป้องกันได้แค่สายพันธุ์ที่เราฉีดวัคซีนเข้าไปป้องกันเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้ โดยควรฉีดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ในช่วงก่อนฤดูฝน หรือก่อนฤดูหนาวจะดีที่สุดค่ะ
ที่สำคัญยังสามารถฉีดได้แม้จะเป็นหวัดธรรมดา
แต่ถ้าหากกำลังเป็นไข้อยู่ละก็ควรเลื่อนออกไปก่อน
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่นิยมฉีดนั้นจะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย
และอาการจะหายไปหายใน 1-2 วันค่ะ
3. โรคท้องร่วง
โดยส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินว่าโรคท้องร่วงจะเกิดขึ้นแต่ในช่วงฤดูร้อน
แต่จริง ๆ แล้ว โรคท้องร่วงสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูหนาวเช่นกัน
เพราะในช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่มีลมแรง
และลมอาจจะพัดพาเอาเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงมาด้วย
โดยเฉพาะโรคท้องร่วงในเด็กเล็ก ที่เกิดจากเชื้อโรตาไวรัส
สามารถทำให้เกิดโรคท้องร่วงรุนแรงได้ พบมากในเด็กอายุตั้ง 3 เดือน-2 ปี
แต่ก็ใช่ว่าผู้ใหญ่จะไม่สามารถเป็นโรคท้องร่วงได้
หากได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายก็สามารถทำให้เป็นโรคท้องร่วงได้เช่นกัน
อาการของโรค
อาการของโรคจะขึ้นอยู่กับเชื้อโรคที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย
โดยอาการหลัก ๆ ได้แก่ ไข้ขึ้น อาเจียน ถ่ายเหลว
บางรายที่มีอาการรุนแรงก็อาจจะทำให้ถ่ายบ่อยจนเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายไปมากผิดปกติ
ส่งผลทำให้เกิดอาการขาดน้ำและอ่อนเพลีย และอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
วิธีการป้องกัน
เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง
มักจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปาก ดังนั้นจึงควรที่จะล้างมือบ่อย ๆ
เพราะการล้างมือจะช่วยขจัดเชื้อโรคที่อยู่ในมือออกได้
ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าเราจะเผลอหยิบอาหารโดยใช้มือหรือเปล่า
อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านกรรมวิธีทำให้สุกอย่างถูกวิธี
เลี่ยงอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
ส่วนในเด็กเล็กสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนตั้งแต่ช่วงแรกเกิดค่ะ
4. โรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื้อว่า
วาริเซลลาไวรัส (Varicella Virus)
ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกับที่เป็นสาเหตุของงูสวัด โรคนี้มักจะพบในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน และพบมากในวัยเรียน
สามารถติดต่อโดยผ่านการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรงหรือสัมผัสกับของใช้ของผู้ป่วย
นอกจากนี้ยังสามารถติดได้จากการสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำเข้าไปผ่านทางเยื่อเมือก
มีระยะในการฟักตัวอยู่ที่ 10-20 วัน
อาการของโรค
โรคอีสุกอีใสมีอาการที่เห็นได้ชัดก็คือ
มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหารเล็กน้อย ผื่นจะเริ่มขึ้นพร้อม ๆ
กับวันที่เริ่มมีอาการไข้ โดยในช่วงแรกจะเป็นผื่นแดงราบก่อน
ต่อมาจึงกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใส ๆ อยู่ข้างใน ในช่วงนี้จะเริ่มมีอาการคัน
จนกระทั่งกลายเป็นหนอง แล้วหลังจากนั้น 2-4 วัน ก็จะตกสะเก็ด
ปกติแล้วผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อย ๆ ออกมาทีละชุด
และจะไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย โดยผื่นและตุ่มจะขึ้นตามไรผม แล้วค่อย ๆ
ลามไปตามบริเวณใบหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง โดยผื่นจะขึ้นเต็มที่ภายใน 4 วัน
บางรายอาจจะมีตุ่มขึ้นในช่องปาก และไม่มีอาการไข้
ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเริมได้
วิธีการป้องกัน
ในปัจจุบันโรคอีสุกอีใสสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน
แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายสูง
ดังนั้นวัคซีนจึงเหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงอย่างเช่นบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็ก
ๆ ตลอดเวลา
แต่หากไม่ฉีดวัคซีนก็สามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสหรืองูสวัด
และไม่ใช้ของร่วมกับผู้ป่วยเพื่อป้องกันการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรงค่ะ
5. โรคมือเท้าปาก
เราอาจจะคิดว่าโรคมือเท้าปากเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้แค่ในช่วงฤดูฝนเท่านั้น แต่จริง ๆ ในฤดูหนาว โรคมือเท้าปากก็สามารถระบาดได้เช่นกัน โดยโรคมือเท้าปากนี้มักจะเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก
เป็นส่วนใหญ่ และสามารถแพร่กระจายได้ในอากาศที่เย็นและชื้น
ซึ่งโรคนี้สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อมือเท้าปากปนเปื้อนอยู่ และสามารถระบาดได้อย่างรวดเร็ว
อย่างที่เรามักจะเห็นว่ามีโรงเรียนมากมายถึงกับต้องหยุดการเรียนการสอนทันทีเมื่อมีเด็กเพียงหนึ่งคนเป็นโรคมือเท้าปาก
เพราะเด็กที่ป่วยด้วยโรคมือเท้าปากจะมีเชื้อที่สามารถติดต่อได้ในน้ำลาย
น้ำมูก และอาจพบในอุจจาระ และเชื้อสามารถอยู่ได้ในอากาศเย็นถึง 2-3
สัปดาห์เลยทีเดียว
อาการของโรค
โรคมือเท้าปากจะเริ่มแสดงอาการหลังจากติดเชื้อแล้วประมาณ
2-3 วัน และอาการที่เห็นได้ชัดเจนคือมีตุ่มน้ำใส ๆ สีแดง ขึ้นที่ฝ่ามือ
ฝ่าเท้า และมีแผลร้อนในบริเวณช่องปาก
บางคนอาจจะมีผื่นขึ้นตามตัวและมีอาการท้องเสียร่วมด้วย โดยจะใช้เวลา 7-10
วันอาการจึงจะเริ่มทุเลาลงจนหายเป็นปกติ ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วย 99%
จะไม่มีอาการรุนแรงและสามารถรักษาหายได้ แต่ก็มีอัตราส่วน 1 ใน 1,000 ราย
ที่จะมีอาการุนแรง และหากเชื้อขึ้นสมอง
จะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีไข้สูง ชัก น้ำท่วมปอด
และอาจเสียชีวิตได้
วิธีป้องกัน
โรคดังกล่าวสามารถติดต่อได้ง่ายมากในเด็ก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ
ติดเชื้อโรคมือเท้าปาก ก็ควรหมั่นให้เด็กล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ
และไม่ควรให้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับเด็กที่ป่วย
หากครอบครัวใดมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก
ก็ไม่ควรจะพาออกไปตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ และควรให้หยุดเรียนจนกว่าจะหาย
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ส่วนโรงเรียนก็ไม่ควรให้เด็กใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันค่ะ
6. โรคหัด
โรคหัด เป็นโรคที่เกิดในเด็กก่อนวัยเรียน และวัยเรียน อายุ
2-12 ปี เสียเป็นส่วนใหญ่ และจะไม่พบในเด็กที่มีอายุต่่ำกว่า 8 เดือน
เนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันจากแม่ เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ
และการจามรดกันโดยตรง หรือการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย
ของผู้ป่วยที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป
โรคหัดมักจะระบาดในช่วงต่อระหว่างฤดูหนาวและฤดูร้อน
ซึ่งถ้าหากชุมชนได้มีภูมิคุ้มกันมากกว่า 94%
ก็จะทำให้ป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้
อาการของโรค
อาการของโรคหัดนั้นใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดธรรมดา
คือ มีไข้ น้ำมูกไหล ไอแห้ง ๆ ตลอดเวลา
ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นโรคหัดหรือไข้หวัดธรรมดา
แต่จะสามารถสังเกตได้หลังจากที่มีไข้สูง ตาแฉะและแดงก่ำ
เวลาโดนแสงจะรู้สึกแสบตาและระคายเคืองตา ทำตาหยี ไอและมีน้ำมูกมาก
ปากและจมูกแดง นอกจากนี้เด็กที่ป่วยอาจจะมีไข้สูงประมาณ 3-4 วัน
แล้วจึงมีผื่นลามจากหลังหูไปยังใบหน้าและร่างกาย
ผื่นจะมีขนาดโตและสีเข้มขึ้นเรื่อง ๆ
ก่อนที่เด็กจะมีผื่นขึ้นตามลำตัวจะมีตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นในปากบริเวณฟันกรามบน
ซึ่งจะเป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัดเท่านั้น หลังจากผื่นขึ้นประมาณ 1-2 วันแล้ว
อาการจะเริ่มดีขึ้น
วิธีการป้องกัน
ปัจจุบันนี้โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด
ซึ่งเป็นวัคซีนรวม หัด หัดเยอรมัน และคางทูม
เป็นวัคซีนที่เด็กทุกคนควรจะได้รับตามที่อายุที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดค่ะ
7. โรคหัดเยอรมัน
แม้จะชื่อคล้ายกัน
แต่โรคหัดและหัดเยอรมันมีอาการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่ไม่มีอาการรุนแรงและมักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่อันตราย
เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า รูเบลลาไวรัส (Rubella Virus)
ซึ่งมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย สามารถติดต่อได้จากการจาม หรือหายใจรดกัน เช่นเดียวกับไข้หวัด และหัด โดยจะมีระยะฟักตัวในร่างกาย 14-21 วัน ถึงแม้ว่าจะอาการไม่รุนแรง
แต่โรคหัดเยอรมันก็เป็นอันตรายสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา
หากมารดาที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 3 เดือน
จะทำให้ทารกมีโอกาสเสี่ยงที่จะพิการสูง และความพิการที่เกิดขึ้นจะรุนแรง
อย่างเช่น ตาบอด หูหนวก หัวใจพิการ และที่สำคัญ สมองพิการ ปัญญาอ่อน
ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
อาการของโรค
หัดเยอรมันมีอาการคล้ายโรคหัด คือจะมีไข้
และออกผื่นคล้ายหัด แต่ผื่นที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเฉพาะ คือ
เป็นเม็ดละเอียดที่แดง มองเป็นเป็นปื้น ๆ หรือเป็นจุด ๆ
กระจายไปทั่วร่างกาย โดยผื่นจะเริ่มขึ้นที่ใบหน้าก่อน
แล้วจึงจะแผ่กระจายลงมาตามหน้าอก ลำตัว และแขนขาจนกระทั่งทั่วร่างกาย
ใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมง แต่หลังจากนั้น 3 วัน
จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยเกิดมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังหูโต ก่อนที่จะมีผื่นขึ้น 1
สัปดาห์ และจะเริ่มยุบลงหลังจากผื่นหายไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์
ในผู้หญิงอาจจะมีอาการปวดตามข้อเล็ก ๆ ร่วมด้วย โดยอาจจะปวดเป็นวัน จนถึง 2
สัปดาห์ แต่จะไม่เกิน 1 เดือน
วิธีการป้องกัน
โรคหัดเยอรมันมีวิธีป้องกันเช่นเดียวกับโรคหัด
ซึ่งก็คือการฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด
แต่ถ้าหากยังไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนก็สามารถฉีดได้เมื่อโตขึ้น
ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้ก็สามารถไปฉีดได้โดยไม่ต้องกลัวผลข้างเคียง
เนื่องจากยังไม่มีผลการวิจัยใดรายงานว่าวัคซีนหัดเยอรมันจะทำให้ทารกเกิดอาการพิการค่ะ
8. ผื่นผิวหนังอักเสบ
ในช่วงหน้าหนาว
ความชุ่มชื้นในผิวจะลดลงเนื่องจากอากาศที่แห้ง จึงอาจจะทำให้ผิวหนังแห้ง
บางรายถึงกับผิวแตก และเป็นผื่นคันอักเสบได้
โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผู้สูงอายุที่มีต่อมไขมันทำงานลดลงอาจจะมีอาการผิวลอกได้
วิธีการป้องกัน
หากมีอาการผื่นคัน
ผิวหนังอักเสบ และผิวลอก ควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ทั่วไป
และเปลี่ยนมาใช้สบู่อ่อน ๆ เลี่ยงการขัดผิว และไม่ควรแช่น้ำอุ่นนาน ๆ
เพราะจะทำให้ผิวยิ่งแห้ง และอาจจะลดการอาบน้ำลงเหลือวันละครั้ง หรือ
ทาครีมหรือน้ำมันทาผิวทุกครั้งหลังอาบน้ำในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ อยู่ค่ะ
และหากเป็นผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายอยู่แล้วก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารเคมีน้อย
เพื่อที่จะได้ไม่เกิดอาการแพ้ค่ะ
จะเห็นได้เลยว่าหน้าหนาวแม้จะทำให้อากาศเย็นสบาย
แต่ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกันถ้าหากเราไม่ดูแลสุขภาพให้ดีเท่าที่ควร
ดังนั้นถ้าไม่อยากจะป่วยก็ควรหมั่นรักษาสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อีกอย่างที่สำคัญก็คือควรหาเสื้อผ้าหนา ๆ อุ่น
ๆ สวมทุกครั้งที่ต้องออกไปข้างนอก ถ้าทำได้ทุกอย่างครบถ้วนละก็
ไม่ต้องกลัวป่วยอย่างแน่นอนเลยค่ะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก