Home »
ทั่วไป อะไรดี
»
กิน ข้าวเหนียว บ่อยๆ กระติกใส่ข้าว ควรรู้ไว้ ใกล้ๆตัวที่หลายคนมองข้าม
กิน ข้าวเหนียว บ่อยๆ กระติกใส่ข้าว ควรรู้ไว้ ใกล้ๆตัวที่หลายคนมองข้าม
กิน ข้าวเหนียว บ่อยๆ กระติกใส่ข้าว ควรรู้ไว้ ใกล้ๆตัวที่หลายคนมองข้าม
โดยได้มีการอธิบายเอาไว้ว่า
โดยปกติแล้วถ้าเป็นกระติกน้ำแข็งชนิดคุณภาพดี (food grade)
ก็จะสามารถทนความร้อนได้ดีในระดับหนึ่ง เช่น
จากที่สังเกตและเห็นมากับตานั่นก็คือ
ร้านค้าหลายร้านมักจะไม่ใช้กระติกชนิดพิเศษที่สามารถทนความร้อนความเย็นได้
แต่ส่วนใหญ่จะใช้กระติกแบบธรรมดาที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกราคาถูก
กระติกเหล่านี้ทำขึ้นจากพลาสติกที่นำมารีไซเคิลซ้ำ ไม่ทนความร้อน
อาจจะส่งผลให้พลาสติกหลายๆตัวออกมาทีละนิดทีละน้อย และปะปนเข้าไปใน
ข้าวเหนียว ของเรา
ซึ่งก็ถือว่าผู้ใช้นั้นนำไปใช้งานผิดประเภทด้วย
เพราะ กระติกเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้กักเก็บความเย็น ไม่ใช่ทนความร้อน
จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใส่อาหารที่ร้อนมาก อย่าง ข้าวเหนียว
ที่เพิ่งหุงสุกใหม่ๆ
บางครั้งที่เราเห็นการนำผ้าขาวบางรองในกระติกเพื่อป้องกันข้าวเหนียวติดกระติก
ก็ควรจะใช้ผ้าที่ทำจากเส้นใยจากฝ้ายแท้ๆ เพราะ ทนความร้อนได้ดีกว่า
แทนที่จะใช้ผ้าไนล่อนราคาถูกที่มีเส้นใยสังเคราะห์ จำพวกพลาสติกโพลีเมอร์
เป็นส่วนประกอบ
เพจ อาจารย์เจษฎา บอกอีกว่า
ผมไม่แนะนำให้เก็บข้าวเหนียวร้อน ที่สัมผัสกับพลาสติกโดยตรง
ถ้าเป็นไปได้ควรใส่ข้าวเหนียวในหม้อโลหะหรือคดใส่ในถุงถุงร้อน
แล้วค่อยใส่ลงในกระติกอีกครั้งซึ่งสามารถมั่นใจได้มากกว่าครับ
การใส่ถุงร้อน ซึ่งใช้พลาสติกที่มีคุณภาพทนต่ออุณหภูมิได้สูง
ถูกออกแบบมาให้ใช้ใส่อาหารที่มีความร้อนสูงได้ จึงเป็ยนทางเลือกที่ดีกว่า
ส่วนกระติกน้ำแข็งที่ได้มาตรฐานนั้น
จะผลิตจากพลาสติกชนิด HDPE และ PP
ซึ่งเป็นพลาสติกเกรดในการบรรจุหรือสัมผัสอาหาร (food grade)
โดยมีจุดอ่อนตัวอยู่ที่ 80-100 องศาเซลเซียส และ 120 องศาเซลเซียส
จึงสามารถทนความร้อนได้ในระดับหนึ่งนั่นรวมไปถึงระดับความร้อนข้าวเหนียวที่พึ่งนึ่งเสร็จได้
เพราะไม่ได้ร้อนเป็น 100 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่านั้น
แบบอุณหภูมิในน้ำเดือด
เราแค่ต้องการให้ทุกๆท่านคำนึงถึงภาชนะในการบรรจุอาหาร
ไม่ใช่แค่ กระติกใส่ข้าวเหนียวอะไรก็ได้ ที่ราคาถูก
รวมไปถึงภาชนะโฟมที่ร้านอาหารตามสั่งชอบใช้
บางร้านก็นำกล่องโฟมที่มีราคาถูกและไม่ได้มาตรฐานมาใช้
เราควรที่จะคำนึงและนึกถึงเรื่องสุขภาพให้ดีมากกว่านี้
แหล่งที่มา : มีสาระ.com
เรียบเรียงโดย : item2day.com