รู้หรือไม่? ไม่กินข้าวเย็น อายุยืน สุขภาพร่างกายแข็งแรง

ไม่กินข้าวเย็น อายุยืน สุขภาพร่างกายแข็งแรง

เวลานอน เป็นเวลาที่ร่างกายจะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆในร่างกาย ขับสาร พิษ และ ฟื้นฟูอวัยวะ โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ที่จะย่อยยาก และ มีพิษมาก ร่างกายจะค่อยๆขับออกไปในเวลานอน

ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับไต จะสามารถกำจัดสารพิษ จากอาหารมื้อเช้า และ เที่ยงได้หมด แล้วจากนั้นจะไปเผาผลาญพลังงานส่วนที่เหลือจากอาหารชนิดอื่นๆ

พลังงานที่ใช้ไม่หมดจากที่เรากินอาหารเข้าไป มื้อ เช้า เที่ยง เย็น ไปเก็บในที่ต่างๆตามร่างกายในรูปแบบไขมัน โดยตับเป็นผู้ทำทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานเป็นไขมัน ไปแทรงไว้ตามใต้ผิวหนัง และ ส่วนต่างๆในร่างกาย ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก เป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วน

หากไขมันค้างอยู่ในหลอดเลือดหากยิ่งสะสมมากรูหลอดเลือด ก็จะเล็กลงไปเรื่อยๆ ทำให้เลือด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ ทำให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือ แก่เร็วขึ้น นั่นเอง

การกินมื้อเย็นเยอะๆ จึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ร่ายกายต้องใช้พลังงานอย่างหนัก ในการเผาผลาญอาหารมื้อเย็น และ มีเวลาน้อยลงในการไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ก็ยิ่งเร่งให้ร่างกายทำงานมมากกว่าปกติ ทำให้อายุสั้นลง

ฉะนั้น จึงหมายความว่า การกินมื้อเย็นมาก ยิ่งตายร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน ได้ประโยชน์ทั้งกาย และ ใจ แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

หลายคนอาจจะสงสัยว่า การที่เราไม่ทานข้าวเย็น แล้วถ้าหิวตอนดึกๆจะทำอย่างไร คำตอบ คือ ” การกินสายกลาง ”

กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้า และ มื้อเที่ยง งดมื้อเย็น หากเปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาถังน้ำมันจะว่างเปล่า ต้องเติมน้ำมันก่อน ก็คือการกินมื้อเช้า เมื่อกินมื้อเช้าแล้ว เราจะอยู่ได้ถึงเที่ยง แต่น้ำมันยังไม่หมด ( พลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปเมื่อเช้ายังใช้ไม่หมด )

เติมอีกครั้งตอนเที่ยง ก็อยู่ได้ถึงเย็น และ ถึงก่อนนอนก็ยังไม่ แต่ที่เรารู้สึกหิวนั้นเป็นเพราะ ความเคยชินมากกว่า

สมมุติกินไข่ต้ม 1 ฟอง ให้พลังงาน 75-100 กิโลแคลอรี่ จะต้องวิ่งประมาณ 30 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว ถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก

วิธีฝึกมีด้วยกัน 4 วิธี ที่ได้ผลดังนี้

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ ( โดยสามารถไปเพิ่มประมาณในมื้อเช้า และ เที่ยงได้ ) เพราะ ยิ่งเรากินมื้อเช้า และ เที่ยงมากเท่าไร ร่างกายก็จะเข้าใจว่าเราได้รับพลังงานมามากเท่านั้น

ทำให้ร่ายกายรู้สึก กระปี้กระเป่า สดชื่น อยากออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อใช้พลังงานให้หมดไป โดยเริ่มจากค่อยๆลดปริมาณมื้อเย็นลงไปทีละน้อย เช่น เคยกิน 2 จาน ก็ลดเหลือ 1.5 จาน พอร่างกายชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน

ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่ กับข้าว ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น โดยหลัง 6 โมงเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า

แต่คนส่วนใหญ่มักทำตรงกันข้ามคือ อดมื้อเช้า กินน้อยมื้อเที่ยง แล้วจัดเต็มมื้อเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ จนใกล้เคียงกับเวลามื้อเที่ยง แล้วก็ควบรวมเป็นมื้อเดียวกัน

3. สามารถกินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็นได้ โดยทานน้ำเต้าหู้แบบไม่ใส่น้ำตาล แล้วใส่เม็ดแมงลักแทน เม็ดแมงลักจะเข้าไปขยายตัวในท้อง แบบนี้รับรองว่าอิ่มถึงเช้าเลย

4. นอนให้เร็วขึ้น หากนอนดึกแล้วหิว แล้วต้องมาหาของกินตอนดึกๆ ก็พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน โดยเข้านอนให้เร็วขึ้น

แหล่งที่มา : ให้ความรู้.com