คนมีรถยิ่งต้องรู้ ถ้าชนต้องทำอย่างไร ไม่ให้เสียประโยชน์
คนมีรถยิ่งต้องรู้ ถ้าชนต้องทำอย่างไร ไม่ให้เสียประโยชน์
ในยุคที่การขนส่งสาธารณะยังไม่สะดวกและเข้าไม่ถึงในทุกพื้นที่
การมีรถเป็นของตนเองแทบจะเป็นหนึ่งในปัจจัยการดำเนินชีวิตกันเลยทีเดียว
ถือเป็นแขนขาที่ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น
และการมีรถก็ต้องมาควบคู่กับการทำประกันเพื่อป้องกันในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา
ถ้าหากรถของเราถูกชนขึ้นมาแล้วเรานำรถไปเข้าอู่เพื่อซ่อม
แล้วไม่มีรถที่จะใช้เดินทางไปไหนมาไหน
เพราะต้องรอกว่าอู่จะซ่อมเสร็จรู้หรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าเสียเวลาที่ใช้ในการเดินทางที่ว่านั้นสามารถเรียกเก็บจากประกันได้เหมือนกัน
เป็นเรื่องเล่าของน้องคนหนึ่งที่สนิท พี่ก็พึ่งรู้ว่าเราสามมรถเรียกเงินคืนจากประกันได้ และได้รับเงินค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
สรุปคร่าวๆ คือ คปภ. หรือสำนักงานคณะก ร ร
มการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ
มีฐานะเป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ ดำเนินงานตามนโยบายที่กำหนดโดยคณะก ร ร
มการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ออกหลักเกณฑ์คุ้มครองผู้ขับขี่รถว่าหากประสบเหตุแล้วเป็นฝ่ายถูก
สามารถทำหนังสือพร้อมส่งเอกสารหลักฐานแจ้งความประสงค์
ขอเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างรอซ่อมได้
ทั้งนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 3 กลุ่ม ได้แก่
1 รถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 500 บ.
2 รถยนต์รับจ้างสาธารณะไม่เกิน 7ที่นั่ง ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 700 บ.
3 รถยนต์เกิน 7 ที่นั่ง ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 1000 บาท
ซึ่งในกรณีของเรานี้อยู่ในเกณฑ์ข้อ 1. เรียกวันละ 600 บ คูณ 37 วัน
เป็นเงิน 22200 บาท โดยในจดหมายได้พิมพ์ส่งถึงประกันได้ระบุชัดเจนว่า
อัตราที่เรียกอยู่ในหลักเกณฑ์ของ คปภ. กำหนด
และสอดคล้องกับลักษณะของการทำงานที่ใน1วันต้องเดินทางพบลูกค้าหลายที่
และมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงขึ้นกว่าปกติเป็นอย่างมากค่ะ
(ในจดหมายมีรายละเอียดชี้แจงมากกว่านี้)
เมื่อนำเอกสารและหลักฐานทั้งหมดไปยื่นที่บริษัทประกันด้วยตนเองจะมีเจ้าหน้าที่มารับเรื่อง และทำการเจรจาต่อรองกับเรา
เหตุการณ์ที่ 1 โดนต่อรองเหลือแค่ 15000 บาท พี่ก็เลยถามไปว่าคิดจากหลักเกณฑ์อะไรคะ แบบนี้ไม่โอเค ขอเรียกตามที่แจ้งในจดหมายค่ะ
เหตุการณ์ที่ 2 โดนต่อรองจำนวนเงินต่อวัน และจำนวนวันเหลือแค่ 30 วัน
ไม่นับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ถามว่ายอมมั้ย? เรายอมแค่ครึ่งทาง
คือขอเรียกวันจันทร์ ถึง เสาร์ เพราะเป็นวันทำงานปกติ
ให้ยกเว้นแค่วันอาทิตย์เท่านั้น และขอนับวันตามปฎิทิน
ไม่ขอใช้เครื่องคิดเลขบวกลบ เพื่อความถูกต้อง สรุปจบที่ 32 วัน คูณ
600บ/วัน = 19,200 บ
เหตุการณ์ที่ 3 ประกันขอจ่าย 18,000 บ ก็เลยตอบไปว่าไม่ตกลง
เพราะในความเป็นจริงต้องเสียเงินไปกับค่าเดินทางมากกว่าที่เรียกร้องไป
เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก เสียจิตไปกับรถที่ไม่เหมือนเดิม
อย่าเอาเปรียบกันเลยค่ะ
ถ้าเลือกได้ไม่มีใครต้องการโดนชนแล้วมานั่งเรียกร้องค่าสินไหมแบบนี้
เหตุการณ์ที่ 4 เรายื่นข้อเสนอไปเอง ลดให้ 200 บาท ขอจบที่ 19000 บาท ถ้าไม่อย่างนั้นก้อขอไปหาข้อสรุปที่ สำนักงาน คปภ ค่ะ
สรุปว่าจบที่ เหตุการณ์ที่ 4 จบที่ 19000 บาท ค่ะ ใช้เวลา 10 วันก็ได้รับเงินค่ะ
โดยเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่
สำเนาใบเคลม, สำเนาใบรับรถ(จากอู่ที่ซ่อมรถ
ซึ่งเขาจะต้องลงวันที่ว่ารับรถวันไหน), สำเนาทะเบียนรถ (ถ้าติดไฟแนนซ์
ต้องมีสำเนาสัญญาไฟแนนซ์), สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ,
จดหมายขอค่าขาดประโยชน์, รูปถ่ายสภาพความเสียหายของรถ,
สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล(ถ้ามีเปลี่ยน),
สำเนาบุ๊คแบงค์ที่ต้องการให้ประกันโอนเงินให้
การนำมาเล่าในวันนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์และเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นๆที่มีรถแต่ยังไม่รู้ถึงสิทธิ์ที่เราควรจะได้รับในเรื่องนี้
สำหรับใครที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็อย่าลืมทำเรื่องเพื่อรักษาสิทธิ์ของเรากันด้วยนะ
เรียบเรียงโดย : Postsod
ขอขอบคุณ : Arexa fashion shop ของสาวนักช้อป