"ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
vit c มีผิด ๆ อยู่มากนะครับ และมีเรื่องที่อีกหลาย ๆ คนไม่ค่อยจะรู้
หาตามในเน็ตก็ไม่ค่อยมีเขียนบอกเอาไว้ คุณความคิดเห็นที่ 3
ก็ยังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดอยู่ และถ้าผมจะเขียนเกี่ยวกับ vit c
ในที่นี้ให้หมดคงเป็นไปไม่ได้เพราะยาวมาก
ผมจะให้อ่านเข้าใจเอาไปใข้ได้ในชีวิตประจำวันก็พอนะครับ จะไม่ตอบเป็นข้อ ๆ
อย่างที่ถามมา
- การทาน vit c เพียง 200-300 mg เท่านั้นร่างกายก็จะรับได้ถึงจุดอิ่มตัว
-
เมื่อทานเข้าไปแล้วจะมี lift time ที่อยู่ในร่างกายได้แค่ ชั่วโมง ถึง
ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ไม่ว่าเราจะทาน vit c ในปริมาณมากแค่ไหนก็ตาม
ก็อยู่ได้แค่นี้ ดังนั้นถ้าเราทาน 1000,2000,3000
ทีเดียวก็ไม่ค่อยมีประโยชน์
- หากฉลากเขียนว่า ascorbic acid นั่นหมายถึง vit c ที่สังเคราะห์
- หากฉลากเขียนว่า acerola หรือว่า rose hips นั่นคือแหล่งสกัด vit c จากธรรมชาติ
-
หากฉลากเขียนว่า sodium ascorbate หรือ calcium ascorbate นั่นคือ vit c
สังเคราะห์ จะเรียกอีกอย่างว่า ester c
ไม่มีฤทธิ์เป็นกรดสามารถทานตอนท้องว่างได้
- sodium ascorbate ทานแล้วได้เกลือแถม
-
calcium ascorbate ทานแล้วได้แคลเซียมแถม
แต่การที่เกาะกับแคลเซียมทำให้ละลายยากซึ่งเป็นผลดีทำให้ vit c ค่อยๆ
ถูกดูดซึมและละลายอย่างช้าๆ ร่างกายจึงได้รับ vit c เป็นเวลานานกว่า
-
vit c สังเคราะห์เดี่ยวๆ ทำงานได้ไม่ดีนักควรจะอยู่ร่วมกับ bioflavonoid,
rutin, hesperidin, pectins (แมกนีเซียม, แคลเซียม, vit b6)
ในวงเล็บถ้ามีจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในไต แต่ไม่มียี่ห้อไหนใส่มาให้
ต้องไปหากินเอาเองแต่ไม่ต้องห่วงถ้าไม่เอามาทานเยอะๆ
ก่อนนอนไม่มีปัญหานิ่วในไตหรอกครับ
-
ควรเลือก vit c ที่เป็นแบบ buffer, ester c(calcium ascorbate) หรือ
sustain release จะได้สะดวกทานเม็ดเดียวอยู่กับเรานานๆ
แล้วถ้าซีเรียสมากก็ทานเย็นอีกเม็ดก่อนนอนอย่างน้อย ชม. ครึ่ง